[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 13

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

แฟนฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ตภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ จากพล็อตดั้งเดิมของคุณโค่มาเพิ่มเติมในส่วนเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อย บลา ๆ ๆ

แอนด์!!

ชื่อตัวละครทุกตัวในเรื่องถูกดัดแปลงจากชื่อจริงของดาบในเกมเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยตามเนื้อเรื่อง โดยในส่วนนี้ได้ทำการขออนุญาตและปรึกษาคุณโค่มาแล้วเช่นกัน ดังนั้น ห้าม!! นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณโค่เด็ดขาดค่ะ

(ไม่ต้องมาขอเราเน้อ เราก็ไปขอคุณโค่มาอีกทีเหมือนกัน ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ)

อย่างไรก็ตามทางผู้แต่งอยากให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลกับของคุณโค่ เพราะทางผู้แต่งได้อ้างอิงมาแค่พล็อต“หลักๆ”เท่านั้น โปรดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และใช้สะพานข้ามแยกเกษตรในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

ชื่อตัวละครแบบแปลงไทย

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์  = มิคะสึกิ มุเนะจิกะ     //     ยมลภา นครไพศาล = ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ

หรินะ นครไพศาล = โฮริคาวะ คุนิฮิโระ     //     ยมบุรชิต นครไพศาล = ยามะบุชิ คุนิฮิโระ

โสรษา สรณ์สิริ(แม่โซ่) = โซสะ ซามอนจิ     //     ครู/แม่เกษม = คะเซ็น คาเนะซาดะ

นาครินทร์(แม่อ้อย) = นิคคาริ อาโอเอะ     //     หัสริยา(แม่ผึ้ง) = ฮาจิสึกะ โคเท็ตสึ

**************************************

บทที่ 13 : คนรัก

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…

วันแต่งงานของหมออิทธิพัทธ์…

 

“แต่งตัวเสร็จแล้วหรือน้องมล… เหวอ!?”พี่ชายคนรองถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กของตนเดินออกมาจากห้อง

“ทำไมถึงใส่ผ้าคลุมหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“ก… ก็ข้าไม่ชินนี่… คนเยอะขนาดนั้น ถ้าไม่มีผ้าคลุมหน้าล่ะก็ไม่ไหวหรอก”น้องสาวตอบเสียงเบา

แม้จะใส่ชุดไทยคอปกตั้งทับด้วยสไบปักดิ้นทองสีฟ้าดูสวยสง่า แต่ผ้าแพรคลุมหน้าผืนนั้นดันกลบความงามเหล่านั้นจนมิด พี่ชายทนไม่ได้ที่จะเห็นน้องสาวออกงานด้วยสภาพนี้จึงเดินเข้าหาหมายจะยึดผ้าคลุมหน้าผืนนั้นเอาไว้

“แต่มันดูไม่ดีนะ ยังไงก็ต้องถอดออก”

“ไม่เอา!!”ร่างบางกรีดร้องก่อนจะวิ่งไปหลบหลังพี่ใหญ่ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล

“น้องมล… อย่าดื้อสิ…”หรินะยังไม่ลดละความพยายามให้การตะล่อมให้ยมลภาถอดผ้าคลุมหน้าให้จงได้ น้องสาวคนเล็กส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ใหญ่ช่วยจนเขาเริ่มจะใจอ่อน

“ไม่เอาน่าหรินะ น้องก็บอกอยู่ว่าถ้าไม่มีผ้าคลุมหน้าน้องคงไม่ไหว”

“ท่านพี่จะตามใจน้องมลเกินไปแล้วนะครับ”เพราะมัวแต่โอ๋กันอยู่แบบนี้ไงน้องสาวถึงได้ดื้อแบบนี้ ได้แต่บ่นในใจจนลืมไปว่าตนเองก็มีส่วนในการตามใจน้องจนเธอเอาแต่ใส่ผ้าคลุมหน้ามาเกือบสิบปี

“บางครั้งเราก็ต้องรู้จักยืดหยุ่นบ้างนะ”ถ้าพี่ใหญ่พูดขนาดนั้นหรินะก็เถียงอะไรต่อไม่ได้ ร่างสูงใหญ่หันกลับไปหาน้องสาวของเขาที่ได้แต่ยืนตัวสั่นไหวเพราะความตื่นกลัว

“เอาล่ะน้องมล มาทำข้อตกลงกันดีกว่า พี่กับหรินะจะอนุญาตให้เจ้าคลุมหน้าไปงานได้”คนฟังคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้รับอนุญาตจากพี่ใหญ่

“แต่ว่าเวลาอยู่ในพิธีหรืองานเลี้ยงน้องต้องถอดออก เข้าใจมั้ย?”เมื่อฟังจนจบรอยยิ้มนั้นก็หายไป

“แต่… ถ้าไม่มีผ้า…”

“พี่เข้าใจเจ้าดี”มือหนาลูบหัวปลอบโยนราวกับเธอเป็นเด็กน้อย

“แต่เจ้าก็รู้ว่าการคลุมผ้าปิดหน้าปิดตาออกงานสังคมมันดูไม่ดี แค่งานนี้งานเดียวนะ เราสามพี่น้องไม่ได้ออกงานสังคมกันบ่อย ๆ เสียหน่อย”

“ใช่ครับ ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อุตส่าห์เชิญทั้งที ถอดผ้าคลุมแค่งานนี้งานเดียวไม่เป็นไรหรอก”เอ่ยนามของเขาคนนั้นออกมาเพื่อล่อลวงให้น้องสาวยินยอมรับข้อเสนอโดยง่าย ร้ายกาจอย่างไม่สมกับเป็นหรินะเลยจริง ๆ

“ตกลงตามนี้นะ?”ยมบุรชิตถามย้ำ

“…ก็ได้”

“อย่างนี้สิน้องพี่!! ไปกันเถอะ รถม้ามารออยู่แล้ว”แผ่นหลังเพรียวบางถูกดันให้เดินไปข้างหน้า รถม้าคันใหญ่จอดรอรับสามพี่น้องอยู่หน้าเรือนจะถอยกลับตอนนี้คงไม่ทันแล้ว มีแต่จะต้องจำใจยอมออกงานสังคมที่เกลียดนักเกลียดหนาจริง ๆ นั่นแหละ

ในขณะที่ยมบุรชิตและหรินะนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ยมลภาก็ได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ทั้งยังรู้สึกหัวหมุนราวกับจะคลื่นไส้ ออกงานครั้งแรกในรอบหลายปีวันนี้เธอจะอยู่รอดจนจบงานมั้ย? ถ้าขอพี่กลับบ้านหลังจบพิธีพวกเขาต้องไม่อนุญาตแน่ ๆ

คิดสะระตะไปเรื่อยจนในที่สุดรถม้าก็หยุดลง พวกเธอมาถึงเรือนท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เร็วเกินไปมั้ย? เธอยังไม่ทันได้เตรียมใจจะออกไปเผชิญโลกภายนอกเลยนะ…

“น้องมลรออยู่ที่นี่นะ พี่กับพี่ใหญ่จะไปร่วมขบวนขันหมากที่บ้านท่านเจ้าพระยา”บ้านท่านเจ้าพระยา? แสดงว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์หรอกหรือ? แล้วที่นี่ที่ไหน?

“แต่ว่า…”เธอได้แต่อึกอักทำท่าไม่อยากลงจากรถม้า

“ไม่ต้องห่วงนะ แม่ผึ้งก็อยู่ด้วย ทำใจให้สบายเถอะ”

“แม่ผึ้ง?”

“อ่า… น้องมลคงจะจำไม่ได้สินะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าได้เจอหน้ากันต้องจำได้แน่ ๆ”หรินะยังคงมองโลกในแง่ดีโดยไม่ไถ่ถามสุขภาพจิตน้องสาวซักคำ สุดท้ายเธอก็ต้องเดินลงจากรถม้าโดยที่ไม่มีพี่ชายทั้งสองตามลงมาด้วย เรือนกว้างที่อยู่เบื้องหน้านี้คือที่ใดกันหนอ…

“งั้นพวกพี่ไปล่ะนะ”รถม้าเคลื่อนออกไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งต้องออกงาน ทั้งถูกทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ชะตากรรมของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป…

ก่อนหน้านี้หรินะบอกว่า แม่ผึ้งก็อยู่ด้วย เธอจำไม่ได้หรอกว่าแม่ผึ้งที่พี่ชายเธอพูดถึงเป็นใคร อาจจะเป็นคนที่เคยเจอเมื่อนานมาแล้ว แต่คิดจนปวดหัวก็ยังนึกหน้าแม่ผึ้งคนนั้นไม่ออกอยู่ดี

ขาเพรียวก้าวข้ามรั้วเข้าไปอย่างจำใจ จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีบัตรเชิญที่ได้รับจากท่านเจ้าพระยาติดมือมาด้วย คนที่นี่จะรู้หรือไม่ว่าเธอเองก็เป็นแขกเหมือนกัน เธอจะไม่ถูกไล่ออกจากงานใช่มั้ย? ไม่ไหวแล้ว… อยากกลับบ้านแล้ว…

“หืม? นั่นใครน่ะ?”หญิงสาวผมยาวสลวยสีม่วงอ่อนร้องทักจากที่ไกล ๆ ก่อนค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธอ เสื้อลูกไม้แบบฝรั่งสีทองอร่ามตัดกับโจงกระเป็นสีม่วงเข้มที่เธอคนนั้นใส่เวลาต้องแสงอาทิตย์ดูสว่างเจิดจ้าจนแสบตาไปหมด

“เอ่อ… ข้า… ข้า…”เธอเอาแต่อ้ำอึ้งท่าทางเลิ่กลั่กไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

“อ้าว!! แม่ยมลภาไม่ใช่รึ?”หญิงสาวผมสั้นอายุราวยี่สิบต้น ๆ เรียกชื่อเธอออกมา เธอคนนั้นรู้จักชื่อเธอได้อย่างไร? ในเมื่อเธอค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยคบค้าสมาคมกับพวกหญิงสาวชนชั้นสูงมาก่อน

“ยมลภา? แม่มลน้องสาวพ่อหรินะน่ะหรือ?”

“ช… ใช่จ้ะ…”คนถูกถามพยักหน้าตอบ

“แม่มล!!”หญิงสาวทั้งสองวิ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกันจนเธอตกใจเกือบจะเดินหนี พวกเธอคือใคร? ทำไมถึงรู้จักเธอ? ตอนนี้มีแต่คำถามแบบนี้วนไปวนมาอยู่ในหัวเธอเต็มไปหมด

“เอ่อ… พวกท่านคือ…”

“ข้าเอง แม่ผึ้งไง”

“แม่ผึ้ง?”หมายถึงแม่ผึ้งที่พี่ชายเธอพูดถึงนั่นหรือ?

“แล้วนี่ก็แม่เกษม จำไม่ได้หรือ? พวกเราเคยเจอกันตอนเด็ก ๆ ไง”เคยเจอกันตอนเด็ก ๆ ก็หมายความว่านานมาแล้วน่ะสิ เรื่องแบบนั้นเธอจำไม่ค่อยได้หรอก แต่ถ้าตอบไปตรง ๆ ว่าจำไม่ได้ก็เสียมารยาทแย่น่ะสิ คิดได้ดังนั้นจึงได้แต่เก็บไว้ในใจไม่แสดงอาการอะไรออกมา

ไม่แปลกหรอกที่เธอจะจำไม่ได้ พ่อเธอเป็นพ่อค้าต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา เธอที่ตามพ่อไปทำงานตั้งแต่เด็กก็ได้พบผู้คนมากมายเช่นกัน หากได้เจอกันครั้งสองครั้งแบบแม่ผึ้งกับแม่เกษมไม่ได้เจอกันเกือบทุกวันแบบสัตยะเธอจำไม่ได้หรอก แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมสองคนนี้ถึงจำเธอได้กันล่ะ?

“เอ่อ…”

“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งอยู่เลย ขึ้นไปบนเรือนก่อนเถอะ”สองสาวพาเธอขึ้นไปบนเรือนทั้งที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ แต่อย่างน้อยให้เป็นแบบนี้ก็ยังดีกว่าถูกไล่ออกจากงานเพราะไม่มีบัตรเชิญล่ะนะ

 

 

 

ร่างบางภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้าถูกพาตัวมาอยู่ในห้องเก็บตัวเจ้าสาว จนป่านนี้ยมลภาเพิ่งจนรู้ตัวว่าเรือนไม้ที่เธออยู่นี้คือเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณสหายของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้มีศักดิ์เป็นอาของแม่อ้อยนางเอกของงานนี้ แต่นี่เธอเป็นคนนอกนะ ไม่ได้รู้จักอะไรกับเจ้าสาวด้วยซ้ำทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้ได้ล่ะ?

“ข่าวลือที่ว่าเจ้าคลุมผ้าปิดหน้าปิดตาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นจริงสินะ นั่นไม่สง่างามเลยนะ”แม่เกษมเอ่ยขึ้นมาพลางกรีดพัดในมือ เธอได้แต่นั่งเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“พวกข้าเห็นผ้าปักของแม่อ้อยก็รู้เลยว่าต้องเป็นฝีมือเจ้า นี่ยังคุยกับแม่ผึ้งเลยว่าเจ้าจะมางานนี้รึเปล่า”หากได้รับบัตรเชิญก็ต้อง(จำใจ)อยู่แล้ว… เมื่อกี้บอกว่าอะไรนะ? เห็นผ้าปักแล้วรู้เลยว่าเป็นฝีมือเธอ? ไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย?

“เดี๋ยวสิ ไม่คิดจะแนะนำแม่สาวคนนี้ให้ข้ากับแม่โซ่รู้จักหน่อยหรือ?”ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวเธอเอ่ยขึ้นมา เพียงเห็นผ้าสไบปักดิ้นทองฝีมือเธอผืนนั้นเธอก็รู้ได้เลยว่าคน ๆ นี้ต้องเป็นเจ้าสาวของท่านหมออิทธิ์พัทธ์แน่ ๆ แม้จะดูตัวเล็กกว่าที่เธอคิด แต่เมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเต็มยศกลับดูสวยเด่นไม่แพ้ใคร

“ลืมไปเลย นี่แม่ยมลภาหรือจะเรียกว่าแม่มลก็ได้ ข้ากับแม่ผึ้งรู้จักนางสมัยยังเด็ก”

“ฝีมือปักผ้าของนางเลื่องลือในวงสังคมมากเลยนะ แล้วนางก็เป็นคนปักผ้าสไบผืนนั้นให้เจ้าด้วยนะแม่อ้อย”แม่ผึ้งยกยอเธอจนเผลอดีใจไปชั่วขณะหนึ่ง ถ้าฝีมือปักผ้าเธอดังขนาดนั้น แม่เกษมกับแม่ผึ้งจะรู้จักและจำเธอได้ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่

“จริงรึ? ไม่คิดเลยว่าจะมีช่างปักผ้าฝีมือดีอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้”แม้จะบอกว่าเป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่เจ้าสาวดูจะไม่รู้จักเธอ

“ข้าชื่อนาครินทร์ แต่เรียกแม่อ้อยก็ได้ ส่วนนั่นโสรษาหรือจะเรียกแม่โซ่ก็ได้”

“ส… สวัสดีจ้ะ…”ร่างบางกระพุ่มมือไหว้หญิงสาวที่ชื่อโสรษาอย่างสุภาพ

คุณโสรษาหรือคุณโซ่เพื่อนเจ้าสาวใส่ชุดแขนหมูแฮมสีชมพูดูทันสมัย เครื่องประดับหรูหราที่ใส่ขับให้ผิวที่งามอยู่แล้วงามขึ้นไปอีก พอมารวมกับใบหน้างามปนเศร้าของเธอแล้วยิ่งพิศดูก็ยิ่งงาม หากงามขนาดนี้คงจะเป็นผู้ลากมากดีเก่ากระมัง

“ดูซิ อะไรของเจ้าเนี่ยแม่มล ออกงานทั้งทีไม่คิดจะถอดผ้าคลุมหน้า แต่งหน้าแต่งตาหน่อยหรือ?”ใบหน้าขาวเนียนไร้การแต่งแต้มก้มหลบทันทีที่โดนแม่เกษมทัก เป็นผู้หญิงทั้งทีแต่กลับแต่งหน้าไม่เป็นหากรู้เข้าต้องโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่

“ข้า… ข้าไม่ควร…”

“ไม่ควรอะไร? ไม่เคยได้ยินหรือโบราณเขาว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นั่งลงเลยเดี๋ยวข้าจัดการให้”

“แม่เกษมได้ของเล่นชิ้นใหม่แล้ว”เจ้าสาวคนสวยเอ่ยเย้า

“ให้ตายสิ ทั้งที่ปักผ้าก็งาม หน้าตาก็สะสวย แต่กลับไม่ดูแลตัวเองไม่หัดแต่งหน้าแต่งตา ไม่สง่างามเลยจริงๆ นะ”เครื่องสำอางค์ของเจ้าสาวถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเธอ เพราะไม่เคยเอาอะไรมาสัมผัสผิวหน้ามาก่อนพอแม่เกษมมาแต่งนู่นเติมนี่จึงรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด แต่จะโวยวายหรือจะหนีก็ไม่ได้ต้องจำยอมเป็นตุ๊กตาให้แม่เกษมแต่งหน้าอยู่แบบนี้จนกว่าจะเสร็จนั่นแหละ

“ให้ข้าช่วยนะ”เสียงอ่อนหวานของคุณโซ่ดังขึ้นที่ข้างหู ตอนนี้เธอยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตาจริง ๆ เข้าไปใหญ่

ในระหว่างที่สองสาวแต่งหน้าให้เธอก็เอาแต่หลับตาปี๋ไม่ยอมมองใบหน้าของตัวเองในกระจกจึงไม่รู้ใบหน้าของตนในยามนี้เป็นเช่นไร อีกสองสาวคือแม่ผึ้งกับแม่อ้อยก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับเขาหรอก ได้แต่มองตาละห้อยแล้วบอกให้เติมนู่นลบนี่บ้างเป็นครั้งคราว เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายติชมก็ไม่ผิดนัก

หลังจากแต่งหน้าเสร็จผ้าแพรคลุมหน้าก็ถูกยึดเอาไว้ไม่ให้เจ้าของได้ใช้มันอีก จะร้องขอเพียงใดแม่เกษมก็ไม่ยอมคืนให้ อ้างว่าพี่ชายของเธอฝากผ่านแม่ผึ้งมาว่าให้ดูแลไม่ให้เธอคลุมหน้าระหว่างงานพิธี

 

ขนาดตัวไม่อยู่ยังจะฝากฝังคนอื่นไว้อีก ท่านพี่นะท่านพี่…

 

“แม่มลรบกวนเป็นประตูทองกับข้าหน่อยนะ”เพราะแม่โซ่ต้องเป็นคนอยู่กับเจ้าสาวก่อนถึงพิธีสงฆ์ แม่ผึ้งเองก็ถือประตูเงินคู่กับหญิงสาวผมสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งไปแล้ว แม่เกษมจึงต้องมาขอร้องเธอที่ยังไม่มีหน้าที่อะไร

“เอ๊ะ? คนอื่นไม่ได้หรือ?”

“ก็ข้าอยากให้เป็นแม่มลนี่นา แค่แปปเดียวเองนะ ๆ ๆ”อีกฝ่ายเขย่าแขนขอร้อง ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเธอเลยว่ารู้สึกลำบากใจแค่ไหน

“ขบวนขันหมากใกล้มาถึงแล้ว พวกเจ้าต้องออกไปเตรียมตัวแล้วล่ะ”แม่โซ่มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นขบวนขันหมากกำลังจะข้ามสะพานมาถึงเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณอยู่แล้วจึงร้องทัก

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”

“อ๊ะ!!”แขนเล็ก ๆ ถูกดึงพาไปรออยู่ที่หน้าประตูเรือนทั้งที่ยังไม่ได้ให้คำตอบอะไรออกไป

ขบวนขันหมากใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยมลภามืออยู่ไม่สุกไปจับผมตัวเองบ้าง จัดผ้าสไบบ้าง ที่เป็นแบบนี้เพราะเจ้าตัวกำลังตื่นเต้นอยู่ จนแม่เกษมถึงกับต้องออกปากห้ามปรามตามประสาครูสอนมารยาทที่เมื่อเห็นอะไรไม่สง่างามแล้วจะรู้สึกขัดใจไปเสียหมด

ในที่สุดขบวนขันหมากก็เดินทางมาถึงเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณ บิดาของหมออิทธิพัทธ์ก้าวออกมาข้างหน้ายื่นซองสีชมพูส่งให้สองสาวผู้ถือสร้อยประตูเงินก่อนที่พวกเธอจะกระพุ่มมือไหว้แล้วหลีกทางออกไป ถึงคราวของประตูทองอย่างยมลภาบ้างเพราะความตื่นเต้นเธอจึงเกือบทำซองเงินหล่นต่อหน้าแขกเหรื่อนับร้อยคน

เมื่อทั้งประตูเงินและประตูทองเปิดออกญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็เดินล่วงหน้าขึ้นเรือนไปก่อน เพียงเสี้ยววินาทีที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มองเห็นใบหน้ายามปราศจากผ้าคลุมของคุณหนูยมลภาเขาก็รู้สึกใจเต้นไม่เป็นระส่ำ เธอช่างงดงามเหลือเกิน… งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ งดงามจนไม่อยากจะให้ผู้ใดได้เห็นใบหน้าของเธอในยามนี้เลย

ระหว่างช่วงพิธีเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่ได้สนใจสินสอดทองหมั้นหรือน้องชายที่เป็นเจ้าบ่าวเลย สายตาของท่านเจ้าพระยาเอาแต่จ้องมองร่างบอบบางที่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนเจ้าสาวจนจิ้งจอกหนุ่มผู้เป็นน้องชายถึงกับต้องเอ่ยปากแซว

“สนใจพิธีการบ้างก็ได้นะท่านพี่”
“อะไร? ข้าก็สนใจอยู่นี่ไง”
“สนใจหรือ? ข้าเห็นท่านเอาแต่มองสาวสวยผมทองคนนั้น นางเป็นใครหรือท่านพี่?”
“อ๊ะ!! นั่นคุณหนูยมลภาของท่านไม่ใช่หรือ?”ได้ยินอัศวะทักขึ้นมาน้องชายตัวแสบถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านเพราะตะลึงในความสวยของผู้หญิงของพี่ชาย
“โห… เข้าใจเลือกเหมือนกันนี่ท่านพี่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงของท่านข้าคงเข้าไปคุยแล้ว”
“เงียบหน่อยสิขอรับ ผู้ใหญ่กำลังทำพิธีอยู่นะขอรับ”เด็กเล็กอย่างอุมานันท์ถึงกับออกปากเตือนจนผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่สามหน่อเงียบปากแทบไม่ทัน
ตลอดพิธีการเรื่องของคุณหนูยมลภายังคงเป็นที่ถกเถียงในวงพี่น้องของท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ต่อไป รู้สึกพลาดจริง ๆ ที่เชิญเธอมางาน ตอนนั้นเขาแค่อยากเห็นเธอในชุดออกงานสวย ๆ ไม่คลุมหน้าบ้าง ไม่ได้อยากจะรีบพามาเปิดตัวกับพี่น้องแบบนี้

 

 

 

ช่วงงานเลี้ยงตอนเย็นสามพี่น้องนครไพศาลถูกจัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวและเหล่าเพื่อนโปลิสของหรินะ ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนยมลภารู้สึกอึดอัด ไม่รวมคนที่เข้ามาทักเพราะอยากรู้จักเธออีก หากไม่รีบไปจากตรงนี้เธอต้องเป็นลมแน่ ๆ

“ข้าขอตัวไปสูดอากาศหน่อยนะ…”เธอลุกพรวดพราดออกไปแต่พี่ชายก็ไม่คิดจะรั้งเธอเอาไว้เพราะลึก ๆ ก็เข้าใจว่าเธอคงไม่ชอบและไม่ชินกับงานเลี้ยงแบบนี้อยู่เหมือนกัน

“น้องเจ้าไหวรึเปล่าน่ะหรินะ?”แม่ผึ้งถามด้วยความเป็นห่วง

“คงไม่ชินกับที่คนเยอะ ๆ น่ะครับ กลับมาคงจะดีขึ้นเอง”

“งั้นรึ?”ไม่มีใครถามถึงยมลภาอีกหลังจากนี้ ทุกคนพากันพูดคุยกันเหมือนทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างบางหลบเร้นจากงานเลี้ยงมานั่งเล่นที่ศาลาริมท่าน้ำ ที่นี่ดูจะเป็นที่ ๆ เหมาะกับเธอที่สุด ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กของผู้คน มีแต่เสียงจิ้งหรีดกับไฟสลัว ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งเล่นอยู่บ้านคนเดียว

ยิ่งคิดแบบนั้นความรู้สึกอยากกลับบ้านยิ่งทวีมากขึ้นไปอีก หญิงสาวได้แต่นั่งกอดตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกน่าอึดอัดเอาไว้ในใจ เธอน่าจะหนีกลับบ้านไปซะตั้งแต่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้หน้าเรือนเมื่อเช้า ไม่น่าเดินเข้ามาให้เจอคนรู้จักเลย ไม่ไหวแล้ว… อยากกลับบ้าน… ไม่อยากกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอีกแล้ว…

“ไม่ชินกับงานเลี้ยงงั้นหรือ?”ผ้าแพรผืนยาวถูกคลุมไว้เหนือศีรษะของเธอ พร้อมเสียงนุ่มนวลดุจกำมะหยี่ที่คุ้นเคย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนจิตใจดีคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน

“ท่านเจ้าพระยา…”ชายหนุ่มทรุดนั่งลงข้าง ๆ เธอโดยเว้นระยะห่างไว้ไม่ให้ใกล้ชิดจนเกินไป ทั้งความอ่อนโยนที่หาผ้ามาคลุมให้ ทั้งความสุภาพที่เว้นระยะห่างระหว่างกันทำเอาเธอแอบหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัวเลย

“ท่านออกจากงานเลี้ยงแบบนี้ คนจะไม่ตามหาท่านหรือ?”

“ก็ปล่อยให้พวกเขาตามหาไปสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่หยี่หระหากคนพวกนั้นจะขาดใจตายเพียงเพราะเขาไม่อยู่ในงาน

“เจ้าสวยมากเลยนะวันนี้”เสี้ยวบุหลันสีทองลอบมองดวงหน้าหวานใต้ผืนผ้าคลุมที่เขามอบให้ เธอหันหน้าหนีไม่ให้เขามองก่อนโวยวายเสียงเบา

“ย… อย่ามาชมว่าสวยนะ…”

“ทำไมล่ะ? ก็เจ้าสวยจริง ๆ นี่ ข้าพูดความจริงมันผิดด้วยหรือ?”ใบหน้ายามไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอางก็ ว่างามแล้ว วันนี้มีสีสันยิ่งดูงามแปลกตาจากเวลาปกติมากขึ้นไปอีก แต่เพราะงดงามขนาดนี้แหละถึงไม่อยากให้ใครได้เห็น

ใบหน้างดงามยังไม่หันกลับมาให้เขาได้เชยชม ชายหนุ่มนั่งเงียบซักพักรอให้เธอลืมก่อนจะแน่ใจแล้วจึงเริ่มชวนคุยไม่ให้ บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป

“ริมน้ำเนี่ย เงียบสงบจังเลยนะ”

“ข้านึกว่าท่านชอบบรรยากาศงานเลี้ยงมากกว่าเสียอีก”หญิงสาวยอมหันกลับมา พูดคุยพลางนึกถึงภาพผู้คนที่รายล้อมรอบตัวท่านเจ้าพระยาจนเธอรู้สึกอึดอัด แทน

“ทำไมถึงคิดว่าข้าชอบล่ะ?”

“ก็… ท่านเป็นที่สนใจของผู้คน มีแต่คนรายล้อม ใคร ๆ ต่างก็ต้องการจะเข้าหาท่าน…”วงแขนเพรียวโอบกอดผ้าคลุมที่ได้รับมาพร้อมความ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ว่าตัวเธอไม่อาจเข้าหาอีกฝ่ายได้บ้างดังที่ใจ ปรารถนา

“ฮะ ๆ ๆ เห็นแบบนี้ข้าก็ไม่ได้ชอบเวลาที่คนพวกนั้นมารุมล้อมหรอกนะ”ออกจะรำคาญมากกว่าด้วยซ้ำ

“แล้วท่านชอบเวลาไหนล่ะ?”

“นั่นสิ… คงเป็นเวลาที่อยู่กับเจ้าล่ะมั้ง”ดวงหน้างามผินมองอย่างไม่เชื่อทั้งใจยัง เต้นไม่เป็นระส่ำ เขากำลังแกล้งเธอหรือ? เขาตั้งใจจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเธออีกแล้วหรือ?

“คุณหนูยมลภา…”มือแกร่งวางทาบทับกับมือของหญิงสาวเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นและความรู้สึกจากใจที่ตนพยายามส่งไป

“ข้ารักเจ้านะ… ตลอดเวลาที่ผ่านมา…”

“ร… รักนี่… หมายถึงรักแบบ…”

“รักแบบคนรัก”เรียวปากคมเอ่ยวาจาออกมาชัดเจน น้ำเสียงนั้นจริงจังไม่มีความล้อเล่นอยู่เลยจนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วของคุณ หนูยมลภาเต้นแรงขึ้นไปอีก

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่… เมื่อไหร่ที่ข้าเริ่มอยากจะเจอหน้าเจ้าทุกวัน พอไม่ได้เจอใจข้าก็ถวิลหาแต่เจ้า และเมื่อยามได้เจอก็รู้สึกไม่อยากแยกจาก”ลูกแก้วคู่งามหลุบมองต่ำอย่างเขิน อาย ยิ่งฟังเลือดร้อนยิ่งสูบฉีดขึ้นทั่วใบหน้าทำให้พวงแก้มที่แดงเพราะเครื่อง สำอางอยู่แล้วแดงยิ่งขึ้นไปอีก

“ถ้าข้าจะขอให้เจ้ามาเป็นคนรักของข้าจะได้หรือไม่? เจ้าจะตอบรับคำขอของข้าได้หรือไม่คุณหนู?”

“ไม่…”เธอตอบพลางดึงมือกลับเข้าหาตัว

“ไม่ได้หรือ?”ท่านเจ้าพระยาหน้าเสียไปชั่วขณะกับคำตอบของเธอ แต่ยังคงถามซ้ำอย่างมีความหวังว่าเธอจะตกลง

“ข้าหมายถึง… ข้าไม่รู้…”ร่างบางนั่งก้มหน้าห่อไหล่ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้เรียกว่ารักได้รึเปล่า ถ้ายังไม่รู้ข้าก็ยังไม่อยากให้คำตอบท่าน”อย่างน้อยท่าทีและคำตอบของเธอก็ทำ ให้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจเขา และบางทีวันนี้เขาอาจรีบเร่งมากจนเกินไป ปล่อยให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างช้า ๆ น่าจะดีต่อทั้งเขาและเธอมากกว่า

“ยังไม่ต้องให้คำตอบก็ได้ แต่อย่างน้อยช่วยรับรู้หน่อยได้มั้ยว่าข้ารู้สึกจริงจังกับเจ้าจริง ๆ”ชายหนุ่มยอมเดินถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่ง

“ข้ารู้แล้ว…”

“งั้นข้าขอเปลี่ยนคำถามนะ ถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ข้าอยากจะมาหาเจ้าทุกวันเจ้าจะอนุญาตมั้ย? จะยอมให้ข้ามาหาโดยที่ไม่ต้องมีเรื่องผ้ามาเกี่ยวข้องได้รึเปล่า?”

“อยากมาก็ตามใจท่านสิ”คำตอบแบบปลายเปิดทำเอาคนฟังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ข้าถือว่าเจ้าตกลงนะ”

“ข้าขอเข้าใกล้เจ้าอีกหน่อยได้มั้ย? แบบนี้ข้ารู้สึกว่าเราอยู่ห่างกันเกินไป”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยขออย่างสุภาพ

“ก็ขยับเข้ามาเองสิ”

“แล้วข้าขอมองหน้าเจ้าได้มั้ย?”ความต้องการของคนมักมากยังไม่หมดลงง่าย ๆ

“อยากมองก็มองสิ”เธอตอบห้วน ๆ คล้ายรำคาญ

“งั้นก็เงยหน้าขึ้นสิคุณหนู”ปลายนิ้วเย็นเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นจนเห็น ดวงหน้าหวานแดงซ่านชัดแจ้งแก้สายตา ระยะห่างที่ลดลงทำให้หัวใจของหญิงสาวยังคงเต้นแรงไม่หยุด

“เด็กดี… ขอข้าจับมือได้มั้ย?”สรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอฟังแล้วยิ่งให้ความรู้สึกจั๊กจี้

“ก… ก็จับออกจะบ่อยไม่ใช่รึไง?”

“อย่าหลบตาสิ มองตาข้านะ”คนอายุมากกว่าเอ่ยปากแม้ไม่ใช่การบังคับแต่คุณหนูยมลภากลับรู้สึกว่าเธอขัดขืนไม่ได้

“แล้วถ้าขอกอดล่ะได้มั้ย?”

“ค… แค่นิดเดียวนะ… ”วงแขนแกร่งโอบรอบเอวคอดกิ่วกักขังเอาไว้ไม่ให้หนี

“ขอจูบหน่อยได้มั้ย? ที่หน้าผากน่ะ”

“อ… อืม…”คนไร้ประสบการณ์หลับตาตอบอย่างเขินอาย เรียวปากคมประทับจูบลงบนหน้าผากมนทั้งวงแขนที่โอบรอบเอวไว้ยังคงไม่ยอมคลาย

“ขอที่แก้มด้วยได้มั้ย?”

“อืม…”จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมหวานจากพวงแก้มนวลฟอดใหญ่ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากไปหยุดอยู่ที่ข้างใบหูนิ่มแดง

“แล้วที่ปากล่ะ?”เสียงนุ่มนวลกับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหูทำเอาร่างบอบ บางในอ้อมแขนอ่อนยวบรวบกับขี้ผึ้งลนไฟ เปลือกตาบางปรือลงอย่างเคลิบเคลิ้มก่อนตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“อื้ม…”

เรียวปากคมทาบทับกลีบปากบางนุ่มอย่างแผ่วเบา…

 

ทั้งนุ่มละมุนและอบอุ่นจนไม่อยากให้คลาย…

 

จูบแรกของทั้งคู่เนิ่นนานราวกับว่ากาลเวลาได้หยุดลง คุณหนูยมลภาไม่ได้ขัดขืนหรือผลักไสท่านเจ้าพระยาให้ออกไปแม้ว่าที่ตอบ อื้ม ไปจะไม่รู้ตัว ยอมรับว่าตกใจ แต่พอชายผู้อยู่เบื้องหน้าประทับจูบลงมาแล้วก็รู้สึกว่าขัดขืนไม่ได้ ซ้ำใจยังปราถนาอยากให้ช่วงเวลานี้ยาวนานจนเป็นนิรันดร์

แต่เวลาแห่งความสุขนั้นช่างแสนสั้น ทั้งคู่ค่อย ๆ ผละออกจากภวังค์พร้อมกัน หญิงสาวซุกใบหน้าแดงก่ำเข้ากับแผ่นออกกว้างของชายหนุ่มอย่างลืมตัว มือแกร่งลูบเรือนผมสีทองตรงหน้าด้วยความรักใคร่

“กลับเข้างานกันดีมั้ย? หายไปนานขนาดนี้พี่เจ้าคงตามหาเจ้าอยู่”

“ท่านก็ปล่อยข้าสิ…”วงแขนแกร่งของชายหนุ่มจำใจปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นอิสระ

“ไปกันเถอะ”สองร่างจูงมือกันทำท่าจะเดินเข้าไปในงาน แต่แล้วหญิงสาวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“อ๊ะ!! เดี่ยว!!”

“ทำไมหรือ?”

“ข้าจะเข้าไปก่อน ถ้าเข้าไปพร้อมกันพี่ข้าคงสงสัยแน่”เดิมทีทั้งหรินะและยมบุรชิตต่างก็สงสัย ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่แล้ว ถ้าเดินเข้าไปด้วยกันแถมจับมือกันแบบนี้เรื่องคงไม่จบแค่สอบถามพอเป็นพิธี แน่

“เอางั้นก็ได้”ท่านเจ้าพระยายอมปล่อยมือให้เธอเดินกลับเข้าไปในงานเพียงลำพัง

“พรุ่งข้าจะไปหานะ”ไปหาโดยไม่มีเรื่องผ้ามาเกี่ยวข้อง

“…อืม”

พระจันทร์เสี้ยวข้างขึ้นสะท้อนเป็นเงาสีเหลืองนวลบนผิวน้ำยามค่ำคืน รูปร่างเหมือนรอยยิ้มของใครบางคนแถวนี้ที่กำลังมีความสุขเสียจนหน้าบานอย่าง ปิดไม่มิด…

 

นี่แหละหนาความรัก…

 

“อ้าวน้องมล!! พี่กำลังตามหาอยู่พอดีเลย”พี่รองเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในงานท่าทางเหมือนจะไม่สบาย

“…”

“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านเรากันนะ”

“…”เธอเอาแต่นิ่งเงียบไม่มีแม้คำตอบสั้น ๆ ให้พี่ชาย

บนรถม้าบรรยากาศเงียบเหงาผิดกับขามา แม้พี่ใหญ่จะไม่ได้เมามากจนหลับไปแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทางยมลภาเองก็ยังนั่งเหม่อลอย สมองนึกโทษตัวเองที่ไม่คุมสติให้ดีปล่อยตัวปล่อยใจจนเสียผีให้เจ้าพระยาเจ้า เล่ห์คนนั้น แย่ที่สุดเลย… ทั้งเจ้าพระยาทั้งเธอนั่นแหละ แย่พอ ๆ กันเลย…

“น้องมล…”หรินะสะกิดเรียกเบา ๆ

“น้องมล!!”คราวนี้ตะโกนที่ข้างหู

“!!”

“เป็นอะไรรึเปล่าน้องมล? ตั้งแต่กลับจากไปสูดอากาศก็ดูเหม่อ ๆ ตลอดเลย”

“ข้า… แค่ไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ”

“หน้าก็แดงด้วย ไหวรึเปล่าน่ะ?”แสงไฟข้างทางสว่างจนเห็นใบหน้าน้องสาวแดงก่ำราวกับถูกพิษไข้ ยมบุรชิตได้ยินดังนั้นจึงเอามือมาแตะที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง

“หืม? ตัวร้อนด้วย ไม่สบายรึเปล่า?”

“หน้า… ที่… ที่หน้าแดงเพราะ… ข้าแต่งหน้าไง!! ล… ล…แล้วที่ตัวร้อนเพราะชุดนี่มันอึดอัด…”สองพี่ชายมองหน้ากันอย่างงง ๆ แล้วกลับไปมองหน้าน้องสาวพร้อมกันอีกครั้ง หรินะดูจะไม่เชื่อแต่ยมบุรชิตกลับไม่ได้คิดอะไร

“คงจะร้อนสินะ อดทนหน่อยนะเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”มือหนาของพี่ใหญ่ลูบหัวน้องสาวอีกครั้ง พี่รองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยออกมา

“หน้าดูแดงมากเลยนะ กลับบ้านไปกินยาดักไว้เลยก็ดีนะเผื่อไม่สบายขึ้นมาจริง ๆ”

“อ… อื้ม…”เธอเริ่มจะไม่ชอบคำว่า อื้ม ขึ้นมาแล้ว พอตอบแบบนี้แล้วก็พาลไปนึกถึงตอนที่เคลิ้มจนโดนขโมยจูบตลอด เรื่องนี้จะให้พี่ชายรู้ไม่ได้… จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนวันตายเลย!!

.

.

.

“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้อยู่ถึงตอนส่งตัวเข้าหอ”เพราะเดินทางมาจากเมืองไกลทำให้โสรษาต้อง เดินทางกลับก่อนไม่ได้อยู่ส่งเพื่อนเข้าหอจนวินาทีสุดท้าย แต่เจ้าสาวไม่คิดมากเธอสวมกอดเพื่อนรักก่อนยิ้มออกมา

“แค่แม่โซ่มาฉันก็ดีใจแล้ว”

“โชคดีนะแม่อ้อย ขอให้พระคุ้มครองทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ”คุณโซ่มองหน้าท้องของเพื่อนสนิทที่นูน ออกมาเล็กน้อยพลางระบายยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้างาม

“แม่โซ่ก็ด้วยนะ”เจ้าสาวยืนส่งเพื่อนของตนจนรถม้าเคลื่อนออกไปลับตา ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ แต่นาน ๆ เจอกันทีได้แค่นี้ก็ดีเท่าไร แถมงานนี้แม่โซ่ก็ดูมีความสุขดีอีกต่างหาก

 

พูดถึงมีความสุข เธอก็เจอคนที่มีความสุขเสียยิ่งกว่าเธอและแม่โซ่เสียแล้ว…

 

“แน่ะแม่อ้อย!! มองท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่วางตาเชียวนะ”สาวชาววังใช้พัดตีเข้ากับท่อน แขนเล็ก ๆ ของเจ้าสาวที่สายตาเอาแต่ให้ความสนใจกับพี่เขยอย่างออกนอกหน้า

“ระวังสามีจะหึงเอานะ”แม่ผึ้งกล่าวเตือนพลางชี้ไปทางหมออิทธิพัทธ์เจ้าบ่าวที่กำลังยืนส่งคนรู้จักอยู่

“ไม่ได้มองในเชิงอย่างว่าซักหน่อย”เวลาอยู่กับเพื่อนแม่อ้อยมักจะพูดจาหน้าไม่อายแบบนี้จนโดนครูเกษมตีเป็นประจำ

“ยัยเด็กแก่แดดนี่!!”ว่าแล้วคุณครูก็ประเคนฝ่ามือลงบนท่อนแขนเรียวดังเพี๊ยะ

ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เธอก็อดมองไม่ได้ ก่อนหน้านี้พี่เขยเธอเวลาคุยกับคนอื่นมักทำสีหน้าไร้อารมณ์เป็นประจำ นี่หลังกลับมาจากสูดอากาศข้างนอกก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอด หรืออากาศหลังบ้านท่านอาจะมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้อารมณ์ดีอยู่?

“แม่ผึ้ง แม่เกษม”

“หืม?”เจ้าของชื่อหันมาหาเจ้าสาวที่เป็นคนเรียก

“ปกติท่านเจ้าพระยาช่างเจรจาขนาดนั้นเลยหรือ?”เธอเอ่ยปากถามทั้งยังคงมอง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่วางตา คิดว่าถ้ามองนานกว่านี้แล้วเจ้าบ่าวมาเห็นต้องพาขึ้นห้องหอก่อนเวลาแน่

“เท่าที่เคยได้ยินมาก็ไม่นะ”คนเป็นครูตอบ

“ท่านคุยงานอยู่รึเปล่า?”แม่ผึ้งตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ข้าว่าไม่ใช่เรื่องงาน…”ไม่ใช่แน่ ๆ นั่งอ่านปากอยู่ตั้งนานท่านเจ้าพระยาไม่ได้คุยเรื่องงานหรอก…

“แล้วแม่มลของข้าล่ะ? ไปสูดอากาศแล้วไม่กลับมาเลย”สาวชาววังมองซ้ายมองขวาตามหาแม่ตุ๊กตาตัวโปรด ของเธอ ว่าจะคุยเรื่องชวนให้เข้าวังไปด้วยกันเสียหน่อย เอาแต่คุยกับแม่โซ่จนลืมเลย

“กลับไปพร้อมพี่ชายเขาแล้วย่ะ”ครั้งสุดท้ายเห็นบอกว่าจะไปสูดอากาศแล้วหายไปเลย

 

แม่มลงั้นรึ?

 

สองคนนั้นหายไปสูดอากาศข้างนอกแต่ว่าไม่ได้ไปด้วยกัน ตอนกลับมาก็ไม่ได้กลับมาด้วยกันอยู่ดีแต่ท่านเจ้าพระยากลับมาตอนที่แม่มล กลับบ้านพอดี ตอนที่ไปส่งแม่มลกลับบ้านเองแม่มลก็ดูแปลกไป มีผ้าอะไรก็ไม่รู้คลุมอยู่บนหัวแถมหน้าตาก็แดง ส่วนท่านเจ้าพระยาไม่ได้หน้าแดงหรอกแต่ว่าหน้าบานเป็นจานข้าวเชียวแหละ…

เห…

TBC.

**************************************

Free Talk :

ในที่สุด!!

ความสัมพันธ์ก็!!

พัฒนาแล้วค่าาาาาาาาาาาาา!! //จุดพลุ

แต่ขั้นนี้ยังเรียกว่าเป็นคนรักไม่ได้นะคะ(อ้าว) เรียกให้ถูกคือจีบอย่างเป็นทางการค่ะ ฮาาาาาาา

ไม่คิดเลยว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องเขียนยาวขนาดนี้ เหนื่อยมาก ๆ เลยค่ะ แต่อ่านไปก็มีความสุขเหมือนกันที่ความสัมพันธ์คู่นี้พัฒนาขึ้นมาได้ขนาดนี้ มองดูคู่นี้จีบกันไปมาก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ

ตอนหน้ามาดูการจีบอย่างเป็นทางการของท่านเจ้าพระยากันค่ะว่าจะเป็นยังไง แล้วแม่มลจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองเมื่อไหร่ ยังไงก็ฝากทุกท่านติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ปีหน้าค่ะ สวัสดีปีใหม่ค่ะๅูู

[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 12

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

แฟนฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ตภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ จากพล็อตดั้งเดิมของคุณโค่มาเพิ่มเติมในส่วนเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อย บลา ๆ ๆ

แอนด์!!

ชื่อตัวละครทุกตัวในเรื่องถูกดัดแปลงจากชื่อจริงของดาบในเกมเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยตามเนื้อเรื่อง โดยในส่วนนี้ได้ทำการขออนุญาตและปรึกษาคุณโค่มาแล้วเช่นกัน ดังนั้น ห้าม!! นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณโค่เด็ดขาดค่ะ

(ไม่ต้องมาขอเราเน้อ เราก็ไปขอคุณโค่มาอีกทีเหมือนกัน ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ)

อย่างไรก็ตามทางผู้แต่งอยากให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลกับของคุณโค่ เพราะทางผู้แต่งได้อ้างอิงมาแค่พล็อต“หลักๆ”เท่านั้น โปรดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และใช้สะพานข้ามแยกเกษตรในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

**************************************

บทที่ 12 : ไข้ใจ

เข้าหน้าฝนต้นเดือนเจ็ดอากาศยังคงร้อนอบอ้าวไม่มีฝนซักเม็ด ร่างสูงใหญ่ของคุณหลวงอัศวะเดินตากแดดร้อนเปรี้ยงพร้อมเอกสารราชการในมือเข้าไปในสำนักงานใหญ่ที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้เป็นพี่ชายทำงานอยู่โดยที่ไม่มีใครทราบหรือไม่มีการนัดล่วงหน้า

เมื่อเห็นน้องชายยศคุณหลวงของท่านเจ้าพระยาเดินเข้ามา เหล่าข้าราชการชั้นผู้น้อยก็พากันประนมมือไหว้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเยอะแยะจนน่ารำคาญ จะเลียแข้งเลียขาเขาก็ไม่ว่าแต่ต้องไม่ใช่วันที่อากาศร้อนชวนหงุดหงิดแบบนี้

“อัศวะ? มาทำอะไรที่นี่?”บุรุษยศเจ้าพระยาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารจ้องมองน้องชายยศหลวงที่เดินจ้ำอ้าวเข้ามาในห้องทำงานทั้งที่เขายังไม่ทันได้อนุญาต เอกสารซองบางประทับตราครุฑถูกวางไว้บนโต๊ะแทนคำตอบ

“โอยะ… เอกสารสำคัญนี่… ต้องส่งวันนี้เสียด้วย ขอบใจมากอัศวะ”

“ถามจริงเถอะท่านพี่ ท่านเป็นอะไร? เหตุใดช่วงนี้ท่านดูขี้หลงขี้ลืมผิดวิสัย?”

“คนแก่ก็แบบนี้แหละ”เพราะความเคลือบแคลงใจกับคำตอบที่ได้รับ ร่างสูงใหญ่จึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ประจันหน้ากับผู้เป็นพี่ชายตรง ๆ พลางส่งสายตากดดันให้อีกฝ่ายยอมคายความจริงออกมา

“เจ้าอยากรู้ความจริงงั้นหรือ? ”ผู้มีศักดิ์ด้อยกว่าพยักหน้ารับ

“ได้… ช่วงนี้ข้ายุ่งมากอัศวะ ข้าทำงานเช้าจรดเย็นทุกวันจนไม่ได้ไปหาคุณหนูยมลภามาเกือบเดือน”

“แล้ว…”

“ก็ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกเหมือนไม่มีกำลังใจในการทำงาน แค่ไม่ได้พบนางทำให้ข้าว้าวุ่นจนแทบบ้า”ครั้งสุดท้ายที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไปที่เรือนนครไพศาลคือเมื่อช่วงกลางเดือน6ที่ผ่านมา ถ้านับดูแล้วจากตอนนั้นก็ราว ๆ 3สัปดาห์ มิหนำซ้ำครั้งล่าสุดยังไปให้สัญญากับพี่ชายของคุณหนูเอาไว้อีกว่าจะหาเวลามาทานมื้อเย็นด้วยกันอีกครั้ง จนบัดนี้ก็ยังหาเวลาให้ไม่ได้เสียที

ก็ใครจะไปรู้กันเล่าว่ารายงานสำรวจพื้นที่ ๆ ทำร่วมกับเจ้าพระยาจตุวรุณกับเจ้าพระยาอัศตาเมื่อครั้งก่อนจะได้รับการอนุมัติให้ทำเรื่องต่อไวขนาดนี้ ลำบากเขาต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งตรวจรายงานของผู้น้อย ยื่นคำร้อง เซ็นต์รับรองจนไม่ได้พักผ่อน สหายทั้งสองเองก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน

จริง ๆ ถ้าเลิกงานแล้วได้กลับเลยมันก็คงพอมีเวลาอยู่หรอก แต่นี่หลังจากเสร็จงานที่สำนักงาน ทางวังก็ดันตามหาตัวเขาเสียให้วุ่นแทบทุกวันไม่รู้จะเรียกใช้อะไรนักหนา บางวันถึงกับต้องนอนค้างที่สำนักงานลำบากพี่น้องต้องเอาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนมาให้อีก

ภาพชายที่กำลังสติแตกตรงหน้านั้นดูไม่เหมือนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ที่อัศวะรู้จัก เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะกลับบ้านไปเล่าให้พี่น้องที่บ้านฟัง

“ท่านตกหลุมรักนางจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“คงจะเป็นเช่นนั้น”ได้แต่เอ่ยออกมาพลางถอนหายใจ

“อันที่จริงงานท่านก็ดูเหลือไม่เยอะเท่าไหร่แล้วนี่ ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ต้องเสร็จภายในวันนี้แน่”น้องชายต่างมารดากวาดสายตามองเอกสาร2-3ปึกเล็ก ๆ บนโต๊ะก่อนให้กำลังใจพี่ชายของตนที่ตอนนี้สภาพห่อเหี่ยวราวกับพืชพันธุ์ในฤดูแล้ง

“มันก็จริงอยู่…”ดวงตาอันเหนื่อยล้ามองดูเอกสารเหล่านั้น มือแกร่งจับปากกาลูกลื่นเอาไว้แน่น

“งั้นข้าก็จะรีบทำให้เสร็จ จะได้เป็นไทแล้วไปหาคุณหนูยมลภาเสียที”คนฟังกระตุกยิ้มก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เงียบ ๆ

“งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะแล้วเจอกันตอนเย็น… ถ้าท่านกลับมาน่ะนะ…”ประโยคสุดท้ายเจ้าตัวเอ่ยเสียงเบาจนแม้แต่คนหูดีอย่างเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยังไม่ได้ยิน ประตูบานพับเปิดออกและปิดลงพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินออกจากห้องไปไม่รอให้ผู้เป็นพี่ชายได้เอ่ยคำร่ำลา

“แล้วเจอกัน”ได้แต่เอ่ยทิ้งท้ายไปแบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าน้องชายตัวดีคงไม่ได้ยิน

“เฮ้อ…”เจ้าพระยาหนุ่มระบายลมหายใจยาว แผ่นหลังเอนแตะผนักพิงให้ความรู้สึกสบายจนเผลอหลับตาไปชั่วขณะ

แม้สังขารจะเรียกร้องให้พักผ่อนเพียงใด แต่หากเทียบกับความต้องการที่จะพบหน้าคุณหนูยมลภาแล้วถือว่ายังเล็กน้อย คิดได้ดังนั้นจึงกลับขึ้นมานั่งหลังตรงอ่านเอกสารทีละฉบับ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที

 

รอก่อนนะคุณหนูยมลภา…

วันนี้ข้าจะต้องไปหาเจ้าให้ได้!!

 

 

    

เพราะอากาศภายนอกเริ่มชื้นมาตั้งแต่ช่วงบ่าย คุณหนูยมลภาจึงรีบเก็บของวิ่งแจ้นกลับเข้าห้องนอนเสียตั้งแต่เมฆยังไม่ทันจะตั้งเค้าด้วยซ้ำ เธอยอมนั่งโกรกลมร้อน ๆ อยู่ในห้องจนเหงื่อไคลย้อย ยังดีกว่าจะให้ผ้าปักดิ้นทองต้องหมองเพราะโดนความชื้น

เสียงฟ้าร้องกับเมฆที่เริ่มตั้งเค้าทำเอาหญิงสาวเดาไม่ออกว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ เหล่าทาสในเรือนเบี้ยกระวีกระวาดเก็บกระด้งที่ตากเนื้อเค็มและปลาแห้งเข้าที่ร่มก่อนที่ฝนจะเทลงมา ลูกเล็กเด็กแดงเองก็ต่างพากันวิ่งเข้าบ้านเพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง

“ฝนตก!!”เสียงทาสชราตะโกนลั่นเรือนปะปนไปกับเสียงวี๊ดว๊ายของเหล่าทาสสาวและเสียงเม็ดฝนเปาะแปะ ใบหน้างามผินมองหยาดน้ำฝนไหลลงมาตามซอกหลังคาราวกับสายธารผ่านหน้าต่าง พลางครุ่นคิดราวกับว่าลืมอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเหลือบไปเห็นขวดน้ำอบแล้วจึงนึกขึ้นได้…

ขาเพรียววิ่งออกจากห้องทิ้งผ้าปักลงไปกองกับพื้น มือฉวยเอาร่มคันที่ใกล้มือที่สุดวิ่งฝ่าฝนออกไปนอกตัวเรือน

ลูกแก้วสีน้ำทะเลมองหากระด้งใส่ดอกไม้แห้งสำหรับทำบุหงาที่เธอตากไว้ตั้งแต่เช้า ตอนนี้มันไม่อยู่ที่เดิมแล้ว คงจะมีใครเก็บไว้ให้เธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วกระมัง คิดเช่นนั้นจึงหันหลังกลับเข้าตัวเรือนแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาก็พลันได้ยินเสียงประตูรั้วหน้าบ้านเปิดออก

“ท่านเจ้าพระยา!?”หญิงสาวเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาผู้มาเยือนพลางยกร่มในมือให้สูงขึ้นเพื่อกันฝนให้เขา

“ท่านมาทำอะไรป่านนี้?”

“ก็มาหาเจ้านั่นแหละ”

“รีบขึ้นเรือนก่อนเถอะ เดี๋ยวท่านจะเป็นหวัดเอา”มือเล็กออกแรงดันร่างสูงที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนให้ขึ้นไปบนเรือน มืออีกข้างยังถือร่มไว้เหนือศีรษะอย่างยากลำบาก

สองร่างพากันมาหลบฝนอยู่ที่หน้าห้องนอนของคุณหนูยมลภา เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ทรุดนั่งลงกับพื้นเรือน มือลูบปาดน้ำฝนที่เกาะหน้าผากออกจนหมด ประจวบกับที่หญิงสาวยื่นผ้าผืนใหญ่มาให้ตรงหน้าเขาพอดี

“ท่านคิดอะไรอยู่ถึงยอมฝ่าฝนมาหาข้าถึงที่นี่? ไม่ห่วงตัวเองหรือไง?”เธอบ่นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิดทำเอาคนฟังเผลอยิ้มจนหน้าบาน

“ก็ข้าอยากพบเจ้านี่นา ข้าขอโทษที่หายไปไม่บอกไม่กล่าว”

“ข้าไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นเสียหน่อย”ร่างบางเดินไปเปิดตู้หลังใหญ่ควานหาของที่อยู่ข้างใน ก่อนจะนำมันกลับมาให้ชายที่ตัวเปียกปอนหนาวสั่นตรงหน้าเธอ

“เช็ดผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ”เสื้อผ้าชุดอยู่บ้านของพี่ชายคนโตถูกยัดใส่มือท่านเจ้าพระยาไปอย่างลวก ๆ คุณหนูยมลภาทำท่าจะเดินเข้าห้องแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี

“แล้วก็… ถ้าข้างนอกมันหนาวจะเข้ามาหลบฝนในห้องกับข้าก็ได้…”ประตูไม้สักปิดลงปล่อยให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่ออยู่เพียงผู้เดียว

กระดุมทองถูกแกะออกทีละเม็ด เสื้อและโจงกระเบนชุ่มน้ำฝนถูกถอดออกเปลี่ยนเป็นเสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงขายาว ท่านเจ้าพระยาเดินไปหยุดที่หน้าห้องนอนที่ตนเคยเข้าไปก่อความวุ่นวายเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูออกช้า ๆ ไม่ให้เกิดเสียง

แง้มประตูได้เพียงนิดก็มองลอดเข้าไปเห็นหญิงสาวเจ้าของห้องนั่งอยู่บนเตียงหันหลังให้ประตู ผ้าคลุมหน้าและกระโจมอกถูกปลดออกจนเห็นแผ่นหลังขาวเนียนชัดแจ้งแก่สายตาทำเอาคนแอบมองถึงกับตะลึงตาค้างต้องกลืนน้ำลาย

แม้ทิวทัศน์จะดีเพียงใดแต่เพราะความเป็นสุภาพบุรุษมันค้ำคอเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จึงรีบหันหน้าหนีไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว แม้จะยังอยากพิสูจน์รอยแผลเป็นที่หลังตามคำบอกเล่าของสัตยะเมื่อครั้งนั้นอยู่ก็ตาม

รอนานจนแน่ใจว่าคนข้างในเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงตัดสินใจเคาะประตูพลางเอ่ยขออนุญาต

“ข้าเข้าไปนะ”ภายในห้องนอนยังเหมือนเดิม ทั้งเตียง โต๊ะ อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทุกอย่างดูเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาครั้งล่าสุด มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม

“เจ้าเอาลูกไม้ที่ข้าซื้อให้มาทำม่านจริง ๆ ด้วย”ผ้าลูกไม้ราคาแพงที่เขาซื้อมาเป็นของกำนัลให้เธอตอนนี้ถูกเย็บเป็นม่านเตียงหรูหรา ราวกับหลุดมาจากหนังสือของฝรั่ง

“ท่านเป็นคนบอกให้ข้าทำเองนี่”เธอคอบทั้งที่ยังหันหลังให้เขา

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์นั่งลงกับพื้นเรือน มองดูหญิงสาวนั่งทำงานจากด้านหลังพลันภาพตอนที่แอบดูเธอเปลี่ยนเสื้อก็แล่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ จนต้องสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออกไปก่อนจะฟุ้งซ่านเพียงเพราะแผ่นหลังขาวเนียนที่ติดตาแบบเอาไม่ออก

“ผ้าท่านใกล้เสร็จแล้วนะ”ช่างปักผ้ายื่นผลงานของเธอให้คนที่สั่งทำดู พลางเขยิบถอยออกห่างราวกับไม่ไว้ใจ

“งดงามมากทีเดียว”ชายหนุ่มตอบออกมาทันทีทั้งที่ยังไม่ได้พิจารณาลายผ้าอย่างถี่ถ้วน

น้ำฝนหยดลงบนผืนผ้าปัก หญิงสาวเงยหน้ามองหลังคาห้องแต่ก็ไม่พบรูรั่ว แล้วพอมองตามหยดน้ำอีกทีต้นน้ำก็ไม่ได้อยู่ไหนไกล

“ท่านเช็ดผมไม่แห้ง…”

“หืม? อา… เรื่องผมน่ะช่างมันเถอะ”

“ช่างไม่ได้นะ น้ำกับความชื้นมันทำให้ดิ้นทองหมองไม่รู้หรือ?”

“ข้านึกว่าเจ้าเป็นห่วงกลัวข้าจะเป็นหวัดเสียอีก”

“หา!?”พวงแก้มนวลขึ้นสีแดง ใจก็เต้นแรงราวกับกำลังถูกจับได้

“ไม่เป็นห่วงข้าซักนิดเลยหรือ? ถึงข้าเป็นหวัดก็จะไม่เป็นห่วงเลยงั้นหรือ?”ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนระยะหว่างเหลือเพียงแค่คืบ เธอผลักเขาออกก่อนโวยวายกลบเกลื่อน

“ม… ไม่เป็นห่วงเลยซักนิด”ก็ไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบแบบนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าอีกฝ่ายบอกตรง ๆ ว่าเป็นห่วงเขานี่สิที่น่าแปลก

“แต่ว่า…”เธอยังพูดไม่จบ

“แต่ว่าถ้าท่านเป็นหวัดแล้วใครจะจ่ายค่าผ้าล่ะ?”

“ฮะ ๆ ๆ งั้นหรอกหรือ…”ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา อุตส่าห์ลงทุนฝ่าฝนมาหาขนาดนี้บางทีเขาก็อยากได้ยินคำว่า เป็นห่วง สั้น ๆ ออกมาจากปากเธอบ้างนะ แบบที่ออกมาจากปากจริง ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้องใช้ใจมองน่ะ

หยดน้ำจากเรือนฝนสีรัตติกาลหยดซึมเปียกลามไปถึงคอเสื้อไม่ต่างจากไปเดินตากฝนมา ถึงจะรู้สึกเย็นดีแต่มันไม่สบายตัวเอาเสียเลย เช็ดให้แห้งสนิทไปเลยคงจะดีกว่า

“คุณหนูยมลภา”เจ้าของชื่อหันมองตามเสียงเรียก

“ข้าเช็ดผมตัวเองไม่ค่อยถนัด เจ้าเช็ดให้ข้าหน่อยสิ”เอ่ยปากร้องขอพลางยื่นผ้าให้ อีกฝ่ายเองก็รับไปยอมทำตามคำขอโดยง่าย

ครั้งนี้ที่คุณหนูยมลภายอมทำให้ง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าแพ้ลูกอ้อนของท่านเจ้าพระยาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แต่พอเห็นสภาพผมกับคอเสื้อที่เปียกชุ่มไม่ต่างจากเพิ่งไปเดินตากฝนมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ เข้าใจอยู่แล้วแหละว่าพวกผู้ดีต้องทำอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเป็น แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากทำให้เลย…

พูดจริง ๆ นะ… ไม่ได้อยากทำให้เลย…

เธอนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังท่านเจ้าพระยา ก่อนจะเริ่มเช็ดตั้งแต่ข้างบนสุดแล้วค่อย ๆ ไล่ลงมาจนถึงต้นคอเหมือนที่ทำให้ตัวเอง แต่เบามือลงหน่อยและพยายามไม่ยีให้ผมฟูมากเพราะที่เช็ดอยู่นี่ไม่ใช่ผมเธอ

“เจ้ามือเบามาก”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยชมทั้งยังหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

“ไม่ดีหรือ?”

“ดีมากเลยล่ะ”รู้สึกดีจนรู้สึกอยากจะงีบหลับเสียตรงนี้

“ช่วงที่ผ่านมาข้างานยุ่งจนไม่มีเวลามาหาเจ้าเลย ข้าไม่อยากห่างจากเจ้านาน ๆ อีกแล้วคุณหนู”

“…”ช่างทำผมจำเป็นได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ แต่ใจยังคงเต้นรัวไม่ยอมหยุด

“แต่หลังจากนี้คิดว่าทุกอย่างคงเป็นเหมือนเดิมแล้ว ข้าคงมาหาเจ้าได้ทุกวันแล้วล่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้นี่นา”

“ทำไมล่ะ? ไม่อยากพบข้างั้นหรือ?”บุรุษยศเจ้าพระยาหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว แม้ดวงตาคมจะส่งสายตาเว้าวอนแต่กลับให้ความรู้สึกราวกับจะกลืนกิน

“เปล่า… ข้าแค่…”คุณหนูยมลภาหลบสายตาท่าทางกระอักกระอ่วน

“งั้นข้ามาทุกวันเลยนะ”

“…ท่านมันเอาแต่ใจ”

“เฉพาะกับเจ้านั่นแหละ”ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้

อุตส่าห์ได้เจอกันครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ทั้งทีก็อยากจะมองดวงหน้าหวานนั้นให้เต็มตาเสียหน่อย ร่างบางยังคงนั่งก้มหน้าหลบสายตาอยู่อย่างนั้น มือก็อยู่ไม่สุกต้องขยำผ้าในมือไปมาจนยับยู่ยี่ ขืนเป็นแบบนี้เวลาต้องผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แน่ ๆ

“ข้าขอกุมมือเจ้าไว้ซักพักจะได้มั้ย?”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยขออย่างสุภาพ

คนถูกขอร้องค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาไม่คิดฉวยโอกาสจับมือเธอทั้งอย่างนั้น ทั้งที่จะทำก็ทำได้ง่าย ๆ แถมยังได้เห็นเธอโวยวายหน้าแดงสมใจเขาอีกต่างหาก

แต่เธอหารู้ไม่ว่าสิ่งที่สุภาพบุรุษตรงหน้าต้องการจริง ๆ นั้นไม่ใช่อากัปกริยาเขินอายอย่างเช่นทุกวัน เขาต้องการความยินยอมพร้อมใจจากเธอ ต้องการให้เธอส่งมือให้เขาด้วยตัวเอง อยากจะให้เกียรติเธอในฐานะนางอันเป็นที่รัก

“…แค่มือนะ”เธอเลื่อนมือข้างหนึ่งไปอยู่ตรงหน้าเขา เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จับมือข้างนั้นเอาไว้ก่อนนำมาแนบข้างแก้มเย็นเฉียบของตัวเอง

“ขออยู่อย่างนี้ซักพักได้มั้ย?”หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ดึงมือกลับ

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ชายหนุ่มไม่ได้มาหาเธอทุกวันเหมือนช่วงแรกที่พบกัน เธอรู้ดีว่างานของเจ้าพระยายุ่งแค่ไหนแล้วนี่เขายังฝ่าฝนมาหาเธออีก รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ยอมตามใจเขาแค่นี้อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่สิ… ถ้าตามใจมากกว่านี้เขาคงจะได้ใจเกินไป

ไม่ไหวเลย… ใจเต้นแรงอย่างกับจะหลุดออกมาจากอกแน่ะ… ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เธอคงจะตายแน่ ๆ ทำไมล่ะ? กับพี่กับสัตยะก็ไม่เคยเป็นนี่นา…

 

หรือว่าเธอจะชอบเขาเข้าแล้ว?

 

ไม่ใช่หรอกน่า!! แค่เพราะไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมาทำดีด้วยมาก่อนก็เลยหวั่นไหวไปเท่านั้นแหละ!! ใจเย็นไว้ยมลภา… เธอไม่ได้ชอบเขา… เธอไม่ได้ชอบเขาหรอก…

เพราะความเหนื่อยล้าท่านเจ้าพระยาจึงเผลองีบหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเธอไว้ที่ข้างแก้มอยู่อย่างนั้น หญิงสาวลอบมองใบหน้ายามหลับใหลของชายหนุ่มตรงหน้า เขาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรไม่เหมือนยามตื่นนอนเลยซักนิด เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าหน้าเขาตอบลงไปมาก คงจะทำงานหนักจนซูบผอมโดยไม่รู้ตัวสินะ…

เสียงฝนค่อย ๆ เบาลงจนเริ่มไม่ได้ยินเสียงเปาะแปะ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องปลุก

“ฝน… หยุดแล้วนะ…”หญิงสาวในผ้าคลุมหน้าเอ่ยเสียงเบา

“ไม่อยากให้หยุดเลย”

“มาเถอะ เดี๋ยวข้าไปส่ง”

ก่อนไปก็ไม่ลืมจะหาโจงกระเบนให้ท่านเจ้าพระยาเปลี่ยนให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกเธอก็อาสาจะซักให้แล้วนัดให้มารับในครั้งต่อไปที่เจอกัน ตอนแรกชายหนุ่มกะจะให้เงินค่าแรงด้วยแต่เธอก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

 

แบบนี้จะเรียกว่าภรรยาได้รึเปล่า?

 

“รับไปซะ เผื่อฝนตกอีก”เธอยื่นร่มให้เขา

“ถ้าข้าบอกว่าข้ายังไม่อยากกลับล่ะ?”

“พรุ่งนี้ท่านก็มาอีกไม่ใช่หรือ?”คนฟังคลี่ยิ้มออกมาท่าทางมีความสุขอย่างปิดไม่มิด

“นั่นสินะ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคุณหนู”ร่างสูงกางร่มแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม คุณหนูยมลภารอจนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เดินไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินเสียงเธอแล้วจึงได้เอ่ยออกมา

“…ข้าจะรอ”

 

 

 

“เป็นอะไรไปแม่มล? ดูไม่สดชื่นเลย”สัตยะทักเพื่อนของตนที่หนีไปนั่งปลีกวิเวกอยู่อีกฟากของเรือน ซ้ำยังทำหน้าเบื่อโลกแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว

“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้แหละ”คำตอบของน้องสาวทำให้พี่ชายทั้งสองต้องนั่งสุมหัวกันลับหลังสัตยะที่นั่งอยู่ไม่ไกล

“หรินะ… ข้าว่าน้องมลของเรากำลังป่วย”ยมบุรชิตพี่ใหญ่เริ่มเปิดประเด็น

“ป่วยใจสินะครับ ท่าทางจะอาการหนักเสียด้วย”หรินะตอบพลางพยักหน้าเห็นด้วย

“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือขอรับ?”บุคคลที่สามโผล่เข้ามาแทรกจนวงสนทนาลับ ๆ รีบแยกตัวแทบไม่ทัน

“อ๊ะ!! ม… ไม่มีอะไรหรอก…”พี่ใหญ่ตอบตะกุกตะกักจนสัตยะเริ่มสงสัย

คราวที่แล้วเขายังไม่ทันได้ล้วงข้อมูลอะไรจากพี่ชายทั้งสองก็ถูกมอมเหล้าหลับไปเสียก่อน จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมเพื่อนของตนจึงดูแปลกไป แล้วพิรุธของทั้งสามคนในวันนี้มันน่าสงสัย ยังไงก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้!!

ทางหรินะที่เอาเอกสารเกี่ยวกับคดีที่ตนรับผิดชอบกลับมาทำที่บ้านก็เนียนทำงานต่อไป แต่มือเขียนข้อความสั้น ๆ ใส่สมุดบันทึกแล้วส่งให้พี่ชาย ความว่า เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ป่วย

“ว้า!! หน้าฝนนี่แย่จังเลยนะครับ!! ”พี่ชายคนรองพูดเสียงดังจนได้ยินไปถึงอีกฟากหนึ่งของเรือนที่น้องสาวนั่งอยู่ พลางสะกิดพี่ชายเป็นทำนองว่ารู้กัน

“นั่นสินะ!! ถ้าลืมพกร่มในช่วงนี้คงต้องตากฝนไม่สบายเป็นแน่!!”พี่ชายก็ตะโกนบ้าง สัตยะที่นั่งอยู่ใกล้กันถึงกับเอามืออุดหูแทบไม่ทัน

“พูดถึงไม่สบาย เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้านผมได้พบท่านหมออิทธิพัทธ์ด้วยล่ะครับ!!”

“แล้วท่านหมอพูดอะไรกับเจ้ารึเปล่า!!”

“ท่านหมอเล่าให้ฟังว่าท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์พี่ชายของท่านล้มป่วยเป็นอาทิตย์แล้ว!!!! จนป่านนี้ยังไม่หายเลยครับ!!”จงใจเน้นที่ว่าเจ้าพระเสี้ยวจันทร์ป่วยให้ดัง ๆ คนที่นั่งอยู่อีกฟากของเรือนจะได้ ๆ ยินชัด ๆ

“นั่นแย่หน่อยนะ ทั้งต้องทำงานหนัก พี่น้องก็ทำงานไม่ว่างมาดูแล ท่านหายช้าคงเพราะไม่ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง!!”เห็นน้องชายเน้นแล้วตนก็ลองเน้นบ้าง ปรากฏว่าได้ผลเพราะน้องสาวคนเล็กลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องไปทันที ไม่ว่าจะเพราะรำคาญหรือเพราะเข้าใจสิ่งที่พี่พยายามจะบอกก็ตามแต่

“อ้าวแม่มล จะไปไหนน่ะ?”สัตยะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถาม

“ข้างนอกอากาศอบอ้าวนัก ข้าจะให้ผ้าปักโดนความชื้นไม่ได้…”แล้วประตูไม้สักบานนั้นก็ปิดลง

“เมื่อกี้ทำอะไรกันน่ะขอรับ?”หันไปถามคนอายุมากกว่าก็ไม่ได้อะไร ทั้งสองเอาแต่ยิ้มแล้วนั่งทำงานของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วแบบนี้ชาติไหนเขาจะรู้เรื่องล่ะเนี่ย!?

 

 

 

“จะเขียนอะไรดีล่ะ…”ปากกาขนนกถูกจิ้มลงบนกระดาษซ้ำไปมาหลายครั้งจนหัวเริ่มทื่อ คนเขียนยังคงลังเลตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเขียนอะไรลงในจดหมายดี

ก็เหมือนกับเมื่อคราวก่อนที่จะเขียนจดหมายตอบกลับตอนที่ท่านเจ้าพระยาทำงานอยู่ที่อยุธยานั่นแหละ ลังเลอยู่แบบนี้สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียที ซากจดหมายที่ถูกขยำทิ้งยังคาอยู่ในลิ้นชักกระมัง แต่คราวนี้จะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้ ยังไงวันนี้ก็ต้องเขียนให้เสร็จแล้วนำไปส่งให้ถึงมือเขา

 

ถึง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

เนื่องจากข้าพเจ้าได้ทราบข่าวจากพี่ชายของข้าพเจ้าว่าท่านกำลังล้มป่วย…

 

“ดูทางการเกินไปรึเปล่านะ…”เธอรำพึงออกมาทั้งที่เพิ่งเขียนจบแค่ประโยคแรก

หลังจากลองเขียนไปหลายแบบก็พบว่าการเขียนจดหมายหาใครซักคนนั้นยากกว่าที่คิด บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่สัตยะไม่เคยส่งจดหมายหาเธอเลยตอนที่เขาอยู่แผ่นดินใหญ่ วันนี้เธอจะเขียนเสร็จมั้ยเนี่ย…

จดหมายแบบทางการก็ดูจะจริงจังเกินไป จดหมายแนวถามไถ่มันก็เหมือนเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ยิ่งจดหมายแนวแสดงความเป็นห่วงเป็นใยยิ่งถูกขยำทิ้งลงถังขยะแทบจะในทันที เธอส่งจดหมายแบบนั้นให้เขาไม่ได้หรอก อ่านไปจะมีแต่ได้ใจเสียเปล่า ๆ

  

หรือบางทีการเป็นตัวของตัวเองอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้…

 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอลากลับก่อนล่ะขอรับ”สัตยะกระพุ่มมือไหว้คนอายุมากกว่าทั้งสองคน สุดสัปดาห์แบบนี้ใคร ๆ เขาก็ได้หยุดกัน มีแต่พ่อค้าอย่างเขาเท่านั้นที่ยังต้องทำงาน ช่างน่าเศร้าเสียจริง

“เดี๋ยวข้าไปส่งเอง!!”เพื่อนสาวโผล่พรวดออกมาจากห้องพร้อมแผ่นกระดาษบางอย่างในมือ

‘ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ ‘ พี่ชายทั้งสองมองหน้าสื่อสารกันในใจเมื่อเห็นกระดาษแผ่นนั้น หนุ่มสาวเดินลงจากเรือนไปแต่สายตาหรินะยังจ้องมองจดหมายฉบับนั้นอยู่ เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เอาไปส่งให้ด้วยตัวเอง แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ

“มีอะไรรึเปล่าแม่มล?”เพราะจับพิรุธได้ตั้งแต่ที่พรวดพราดกลับเข้าห้องไปทั้งแบบนั้น เมื่อได้อยู่กันเพียงลำพังจึงสบโอกาสถามตามตรง

“ข้าอยากให้เจ้าเอาจดหมายไปส่งให้ข้าหน่อย”เธอยื่นจดหมายแผ่นบางกับห่ออะไรซักอย่างทำจากผ้าไหมสีน้ำเงินปักเป็นลายพระจันทร์เสี้ยวให้เพื่อนชายคนสนิท

“หืม? อ่า… ได้สิ ว่าแต่ส่งถึงใคร?”

“ส่งให้ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์”

“หา!? ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจ…”ได้ยินชื่อผู้รับ บุรุษไปรษณีย์จำเป็นถึงกับตะโกนออกมาเสียงดัง

“เบา ๆ สิ!!”มือบางตะครุบปากไว ๆ ของสหายแทบไม่ทัน

“ขอโทษ”

“นั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้ถึงภายในวันนี้ รบกวนเกินไปรึเปล่า”ส่งไปรษณีย์สยามใช้เวลาตั้งสามวัน ฝากสัตยะไปส่งแน่นอนว่าต้องเร็วกว่า

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ข้าคงว่างไปส่งให้ช่วงเย็นนะ”

“ขอบใจมากนะ ไว้จะหาโอกาสตอบแทนทีหลัง”หลังจากไหว้วานธุระเสร็จแล้วหญิงสาวก็เดินกลับขึ้นเรือนไป ทั้งที่สัตยะยังไม่ทันก้าวพ้นรั้วบ้านนครไพศาล

 

สุดท้ายก็เห็นเขาเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์นี่นา!?

  

รอจนตกเย็นสัตยะถึงได้ฤกษ์ไปส่งจดหมายตามคำขอของยมลภาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเสียที รู้สึกคันมืออยากจะแกะจดหมายอ่านชะมัด แต่ทำแบบนั้นมันเสียมารยาทแล้วยังรู้สึกผิดต่อแม่มลอีก เพราะเธออุตส่าห์ไว้ใจให้เขาเอาจดหมายไปส่งเอง

แสงอาทิตย์ยามเย็นมันแยงตาจนเกินไป จดหมายจึงถูกใช้แทนร่มบังแดดชั่วคราว แต่เพราะมันบางมากแสงอาทิตย์จึงทำให้สัตยะเห็นข้อความที่เขียนอยู่ในแบบกลับข้าง ถ้าจะอ่านทั้งอย่างนี้คงไม่เป็นไรมั้ง… ก็บังเอิญเห็นนี่นา…

 

‘หวังว่าจะหายดีแล้วรีบมาดูความคืบหน้าผ้าในเร็ววัน’

 

เนื้อความแบบนี้… แล้วก็พิรุธแบบนั้น… นี่มัน…

   

   

   

“เอาล่ะท่านพี่ ได้เวลาสารภาพความจริงแล้ว…”หมออิทธิพัทธ์นั่งกอดอกปั้นหน้าจริงจังอยู่ข้างเตียงของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้เป็นพี่ชาย

“นี่ก็ผ่านมาตั้ง7วันแล้วทำไมไข้ยังไม่ลด? ท่านแอบไปทำอะไรมา?”

“เปล่าซักหน่อย ข้าก็กินยาตามที่เจ้าสั่งไม่ขาดไม่เกิน”แพทย์หนุ่มรู้ว่าพี่ชายของตนนั้นพูดความจริงเพียงแต่พูดออกมาไม่หมด จึงปั้นหน้าเคร่งขรึมต่อไปกดดันให้คายความจริงออกมา

“…ไม่เอาน่า เจ้าก็รู้ว่างานข้าเยอะ ข้าทิ้งงานไม่ได้”

“แต่ถ้าท่านเชื่อฟังยอมกินยาแล้วพักผ่อนตามที่ข้าสั่งป่านนี้ท่านหายขาดไปนานแล้ว”

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้…”คนป่วยบ่นอุบพลางพลิกตัวหลบหน้าผู้เป็นทั้งหมอและน้องชาย

“ยังไงท่านแก่กว่าข้านะท่านพี่”คนหนุ่มตอบกลับหน้าตาย

“อาการหนักขนาดนี้เห็นทีข้าคงต้องจัดยาเพิ่มอีก”

“รสชาติยาพวกนั้นทำให้ข้าอาการแย่ลง”แค่เห็นยาเม็ดสมัยใหม่พวกนั้นก็รู้สึกจะอาเจียนแล้ว บางตัวที่ผู้เป็นน้องบังคับให้กินนั้นขมกว่ายาสมุนไพรไม่รู้ตั้งกี่เท่า

“นั่นเพราะท่านไม่พักผ่อนต่างหาก อุมานันท์เคยกินยานี่แล้วพักผ่อนหลังจากนั้นก็หายขาดใน2วัน”หมอหนุ่มหยิบเอาซองยาออกมาทีละซองเรียงกันเป็นตับต่อหน้าพี่ชาย ก่อนอธิบายสรรพคุณให้คนป่วยฟัง

“นี่ยาหลังอาหารอย่างละเม็ด มีผลข้างเคียงทำให้ง่วง ท่านจะได้พักผ่อน”

“หากงานยังส่งเสียงเรียกข้า ฤทธิ์ยาคงไม่ช่วยอะไร”

“ขอล่ะท่านพี่ อย่าให้ข้าต้องเอางานเอกสารของท่านไปฝังดินเลย”ไม่รู้จะต่อล้อต่อเถียงอย่างไรถึงจะชนะ​ จึงได้แต่เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน ทิ้งให้คนป่วยได้นอนพักผ่อนตามลำพัง ถ้ายอมนอนล่ะนะ… 

“จริงด้วย คุณหนูยมลภาฝากนี่มาให้”มือแกร่งหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อพร้อมถุงขนาดเล็กลายจันทร์เสี้ยวส่งให้พี่ชาย คนอายุมากกว่ารับเอาไว้ก่อนลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“เจ้าไปพบนางมาหรือ?”คนป่วยถามท่าทางร้อนรน

“เปล่าหรอก เมื่อวานนางฝากสหายที่ชื่อสัตยะมาส่ง เห็นว่าเป็นน้องชายของท่านอัศตาด้วยคิดว่าท่านคงรู้จัก”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มองจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่านี่จะเป็นจดหมายจากคุณหนูยมลภาจริง ๆ

“ข้าขอตัวก่อน งานยังรอข้าอีกเยอะทีเดียว”หมออิทธิพัทธ์เอ่ยลาสั้น ๆ​ ก่อนปิดประตูออกจากห้องไป​ เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วจดหมายฉบับนั้นจึงถูกแกะอ่านอย่างรวดเร็ว

 

ถึง​ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

ข้าเพิ่งได้ทราบข่าวจากพี่ชายของข้าว่าท่านป่วย ทั้งช่วงนี้ฟ้าฝนยังพิลึกพิลั่นนัก จนแม้แต่คนหนุ่มยังไข้จับสั่นนับประสาอะไรกับท่าน หวังว่าจะหายดีแล้วรีบมาดูความคืบหน้าผ้าในเร็ววัน เพราะหากท่านไม่มาข้าก็ทำงานต่อไม่ถูก

ปล.พี่ชายข้าเพิ่งได้สมุนไพรหอมอย่างดีมา หากท่านมีอาการหายใจติดขัดมันน่าจะช่วยได้

ยมลภา นครไพศาล

 

จดหมายฉบับแรกที่ได้จากเธอเป็นจดหมายเนื้อความสั้น​ ๆ​ ดูจริงจัง ไม่มีแม้แต่คำว่าเป็นห่วง แต่เหตุใดกลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวแบบนี้นะ? หรือเพราะก่อนหน้านี้ที่เคยส่งจดหมายไป15ฉบับแล้วไม่ได้กลับมา​ พอเธอเขียนหาถึงได้รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก

ถุงสมุนไพรหอมถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถ้วนถี่​ ลายปักจันทร์เสี้ยวที่ประณีตขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือคุณหนูยมลภาแน่ ๆ​ จะเป็​นอะไรมั้ยหากเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอทำพิเศษเพื่อเขาเพียงคนเดียว?

ยาขมที่ท่านเจ้าพระยาเกลียดนักเกลียดหนาถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก หากเธอบอกให้กินเขาก็จะกิน หากเธอบอกให้พักเขาก็จะพัก และหากเธอบอกว่ารอเขาอยู่ เขาก็จะรีบหายป่วยแล้วไปหาเธอ จะไม่ปล่อยให้เธอต้องนั่งเหงาอยู่ตามละพังบนเรือนกว้างเด็ดขาด… 

TBC. 

**************************************

Free Talk:

กลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว!! 

ตอนนี้เขียนยาวมากๆชดเชยที่หายไปนานค่ะ ในที่สุดความสัมพันธ์ของคู่นี้ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ!! (//จุดพลุ) แต่คุณหนูยมลภาก็ดันยังไม่รู้ใจตัวเองซักที(อ้าว…)

ตอนนี้หมอคงจะเซ็งน่าดู เป็นทั้งหมอทั้งน้อง บอกให้ดูแลตัวเองไม่เคยฟัง คุณหนูบอกผ่านจดหมายคำเดียวรีบกินยานอนเฉย (//กุมเฮด) แต่นี่แหละค่ะความรัก หลังจากนี้ก็มาเอาใจช่วยให้คุณหนูยอมรับรักท่านเจ้าพระยากันเถอะค่ะ~ แล้วพบกันใหม่นะคะ~

[One-Short TouRabu Fic]Golden Wish[MikanBa]

[Fic Touken Ranbu] Golden Wish

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbagiri Kunihiro

Rate : PG

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

1.ดาบทั้งหมดในฮงมารุนี้อ้างอิงตามนิสัยจากดาบในฮงมารุของผู้เขียนโดยตรง หากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

2.ซานิวะฮงมารุนี้”ไม่มีเพศและหน้าตาที่ชัดเจน” แต่บุคลิกอ้างอิงมาจากตัวผู้เขียนอีกเช่นกัน ดังนั้นหากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยอีก ครั้ง

3.คำเรียกแทนตัวของดาบแต่ละเล่มผู้เขียนทำการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับภาษา ไทย+นิสัยในฮงมารุดาบของตัวผู้เขียนเอง หากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยอะเกนแอนด์อะ เกน

**************************************

ยามเช้าท่ามกลางกองหิมะสูงเกือบฟุต เหล่าบุรุษศาตราพากันถือพลั่วมาคนละเล่มตามคำสั่งของผู้เป็นนายที่ว่าให้ขุดหิมะออกจนเห็นทางเดินก่อนถึงเวลาเดินทัพ

สามพี่น้องคุนิฮิโระรับผิดชอบในส่วนของหน้าประตูเรือนต่างก็ช่วยกันกวาดหิมะอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งยามะบุชิเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“นาน ๆ ทีได้ทำงานบ้านร่วมกันก็ดีเหมือนกันนะ”

“นั่นสินะครับ”โฮริคาวะตอบเสียงสดใส

ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระค่อย ๆ เดินปลีกตัวออกห่างจากพี่ชายทั้งสองมาเงียบ ๆ เพราะต้องการอยู่ตามลำพัง แต่ก็ไม่แนบเนียนพอจะทำให้สัญชาตญาณพี่ชายของโฮริคาวะไม่ทำงาน

“ยามัมบะกิริคุง ไม่ใส่ผ้าพันคอแบบนั้นไม่หนาวเหรอครับ?”เสียงเรียกของโฮริคาวะรั้งเขาไว้จนต้องทำใจเดินกลับมาหาพี่น้อง

“ข้ามีผ้าคลุมของข้าอยู่แล้ว…”

“ไม่ได้นะครับ ยามัมบะกิริคุงเป็นดาบเลขาของนายท่าน ถ้าไม่ดูแลตัวเองจะรับใช้นายท่านได้ไม่เต็มที่นะครับ”พูดจบก็ถอดผ้าพันคอของตัวเองมาพันรอบคอน้องชายตัวสูงกว่าโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ร้องขอ

“แล้วเจ้าไม่หนาวหรือ?”

“ใช้ของอาตมาแทนสิ”

“จะดีหรือครับ?”แม้จะถามเช่นนั้นแต่ก็รับผ้าพันคอไหมพรมที่พี่น้องยื่นมาให้เสียแล้ว

“อาตมาฝึกตนอยู่บนภูเขาเป็นประจำทำให้ร่างกายแข็งแรง อากาศหนาวแค่นี้ทำอะไรอาตมาไม่ได้หรอก คั่ก ๆ ๆ”

เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่สามพี่น้องก็จัดการกวาดหิมะจนหมดเห็นเป็นพื้นทางเดินชัดเจน ยามะบุชิเป็นคนอาสาเอาพลั่วไปเก็บทิ้งให้โฮริคาวะและยามัมบะกิริอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“สายป่านนี้แล้วไม่ไปหานายท่านหรือครับ?”

“เอ๊ะ?”ยามัมบะกิริทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าตนนั้นทำหน้าที่ดาบเลขาอยู่

“หรือจะไปหาท่านมิคะสึกิก็ได้นะครับ พวกซังโจคงกวาดหิมะอยู่แถว ๆ ศาลเจ้าหลังเรือนนี่เอง”วากิซาชิผู้พี่เอ่ยดักขึ้นมาอย่างรู้ทัน

“ค… ใครจะไปหาตาแก่นั่นกัน…”เด็กหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีพลางสาวเท้ายาวเดินไปทางห้องของผู้เป็นนายทันที ทิ้งให้ดาบสั้นอายุมากกว่าตนยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว

ดาบทุกเล่มในฮงมารุพากันมารออยู่ที่ลานกว้างเพื่อรับคำสั่งที่ผู้เป็นนายจะสั่งการผ่านดาบเลขาเล่มปัจจุบันดังเช่นทุกวัน แต่รอแล้ว รอเล่า รอจะเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ดาบเลขานามยามัมบะกิริ คุนิฮิโระก็ยังไม่ปรากฏกายเสียที

“เมื่อยแล้วอ่ะ เมื่อไหร่ยามัมบะกิริซังจะมา?”เด็กเล็กอย่างอากิตะบ่นอุบ

“อดทนหน่อยสิ พวกเราเป็นบุรุษศาสตรานะ”มาเอดะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ขาเล็ก ๆ ของตนยังสั่นระริกเพราะความหนาว

“แปลกจัง ปกติเวลาป่านนี้ต้องได้เริ่มทำงานกันแล้วสิ”ดาบตัดเชิงเทียนของดาเตะบ่นพลางลูบคางตัวเอง

เสียงบ่นจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วลานกว้าง ทุกคนล้วนแต่บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมคำสั่งจากนายท่านถึงยังไม่มา เด็ก ๆ ก็พากันบ่นว่าหนาวบ้างจนนามะสึโอะต้องเป็นแกนนำพาน้อง ๆ วิ่งเล่นไล่จับเพื่อคลายหนาวฆ่าเวลา แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกเล่นเมื่อได้ยินเสียงบอกให้หยุดของเฮชิคิริ ฮาเซเบะ

ดูเหมือนว่าดาบเลขาจะรู้ว่าทุกคนกำลังรออยู่ จึงรีบถือใบคำสั่งวิ่ง4×100มาตั้งแต่หน้าห้องนายท่านจนถึงลานกว้างที่ดาบทุกเล่มรวมตัวกันอยู่

“ขอโทษที่มาช้า”ดาบจำลองเอ่ยขอโทษเสียงเบา

“จากนี้จะเป็นการประกาศหน้าที่ประจำวัน”

 

เลี้ยงม้า

อุระชิม่า กับ ชิชิโอ

ทำสวน

ชินาโนะ กับ อัตสึชิ

ซักผ้า

คะเซ็น กับ อิสึมิโนะคามิ

ทำกับข้าว

มิตสึทาดะ กับ โอคุริคาระ

 

“แล้วก็พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงคริสต์มาส นายท่านมอบหมายให้ดาบทุกเล่มที่ไม่มีหน้าที่อะไรมาช่วยกันจัดสถานที่เตรียมงานเลี้ยง เรื่องงบประมาณให้เบิกเอากับฮาเซเบะ”กระเป๋าสตางค์ของผู้เป็นนายถูกโยนส่งต่อให้อดีตดาบรักของโอดะ โนบุนากะดูแล

“ส่วนทัพหลักที่จะออกรบมีมิคะสึกิ และข้าที่เป็นหัวทัพ เอาล่ะ… แยกย้ายได้”ยามัมบะกิริที่เดินหลบฉากไปพร้อมมิคะสึกิเรียกความสนใจจากสายตาดาบทุกเล่มในฮงมารุ

มิดาเระกับจิโร่ทาจิหันไปคุยกันถึงความสัมพันธ์ของดาบทั้งสองเล่มที่ปลีกตัวออกไป ฮาเซเบะที่ทนไม่ไหวที่ดาบทุกเล่มมัวแต่ให้ความสนใจกับเรื่องของคนอื่นจนลืมงานที่นายท่านสั่งจึงตะโกนเสียงดังไล่ทุกคนให้ไปทำงาน

 

สมแล้วที่เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของนายท่าน…

 

“ทัพวันนี้เราจะเดินทางไปที่ไหนกันหรือยามัมบะกิริ? ”ดาบที่งามที่สุดในใต้หล้าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“วันนี้เจ้ากับข้าต้องเดินทางไปยุคปัจจุบัน”

“ยุคปัจจุบัน? หมายถึงยุคของนายท่านงั้นรึ? ทำไมล่ะ?”

“ตอนนี้นายท่านป่วยหนัก ท่านบอกว่าต้องการยาจากในยุคของท่านในการรักษา”ยามัมบะกิริตอบมือเปิดลิ้นชักควานหาเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันที่นายท่านเคยมอบให้เมื่อนานมาแล้ว

“ใช้ยาที่ยะเก็นทำไม่ง่ายกว่าหรือ?”ดาบเก่าแก่ออกความคิด

“จริง ๆ แล้วนายท่านเป็นพวกดื้อยา ถ้าไม่ใช่ยาจากยุคปัจจุบันล่ะก็ไม่ได้ผลหรอก”เพราะเป็นดาบเล่มแรกที่อยู่มานานที่สุด จึงรู้เรื่องของผู้เป็นนายดีกว่าใคร

“แล้วก็เรื่องนี้นายท่านกำชับว่าอย่าให้ฮาเซเบะรู้เด็ดขาด เจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร”คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

ก็แน่ล่ะ ถ้าคนที่เป็นอารุจิลิซึ่ม(โรคติดนายท่าน)อย่างฮาเซเบะรู้เข้าเจ้าตัวต้องแสดงอาการเป็นห่วงจนเวอร์แล้วขอให้นายท่านยกเลิกงานคริสต์มาสเพราะกลัวนายท่านจะป่วยหนักกว่าเดิมแน่ ๆ นายท่านเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเพราะมันจะเป็นการทำลายความฝันของเด็ก ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงถือเป็นความลับสุดยอดห้ามให้เฮชิคิริ ฮาเซเบะรู้เด็ดขาด!!

“เปลี่ยนชุดได้แล้ว เราต้องรีบไป จะได้กลับมาก่อนมื้อเย็น”เด็กหนุ่มหอบเสื้อผ้าของตัวเองทำท่าจะเดินไปเปลี่ยนชุดอีกห้อง แต่กลับถูกชายหนุ่มในชุดคาริงินุรั้งตัวเอาไว้ก่อน

“ยามัมบะกิริ…”ดาบใต้หล้าเอ่ยนามของเขา คนถูกเรียกชื่อถึงกับใบหน้าขึ้นริ้วเป็นสีแดง

.

.

.

“เจ้านี่ใส่ยังไงเหรอ?”

อุจิคาตานะหนุ่มได้แต่มองอีกฝ่ายแล้วลอบถอนหายใจ…

.

.

.

“ตาแก่น่ารำคาญเอ๊ย…”

 

 

 

กว่าจะเปลี่ยนชุดเสร็จก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะมิคะสึกิติดกระดุมเสื้อเชิ้ตผิดรู ใส่กางเกงผิดด้านทำให้ต้องเสียเวลาสอนวิธีใส่อีกประมาณ10กว่านาที

“แล้วทีนี้จะไปยังไงล่ะ? ถ้าใช้เครื่องเดินทางข้ามเวลาที่ลานกว้างจะต้องโดนเห็นแน่ ๆ”อย่างน้อยจะต้องมีคนมาส่งพวกเขา​ แล้วถ้าถูกเห็นพิกัดเวลาจะต้องถูกสงสัยแน่ ๆ​ เมื่อถูกทักขึ้นมา ดาบเลขาเล่มปัจจุบันก็ควักเอาวัตถุสีทองชิ้นเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต

“นายท่านให้นี่มาแล้ว”

“นั่นอะไรน่ะ?”

“เป็นเครื่องมือสำหรับเดินทางไปยุคปัจจุบันโดยเฉพาะ ข้าเคยใช้ประมาณ3-4ครั้งตอนที่ตามนายท่านไปซื้อของในยุคปัจจุบัน”ฝาตลับถูกเปิดออกจนเห็นหน้าปัดนาฬิกาและกลไกข้างใน หน้าตามันก็เหมือนกับเครื่องเดินทางข้ามเวลานั่นแหละ แค่เป็นขนาดย่อส่วนพกพาง่ายเท่านั้นเอง

“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ”ดาบอายุมากกว่าทำท่าตื่นเต้นราวกับเด็ก

ยามัมบะกิริเช็คจนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านมาก่อนปิดประตูลง แล้วดึงสลักข้างตัวเรือนนาฬิกาออก ก่อนจะมีแสงสีทองสว่างวาบแยงตาขึ้นมาเหมือนกับตอนที่เครื่องเดินทางข้ามเวลาทำงานไม่มีผิด

ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็เดินทางมาโผล่ในยุคปัจจุบันปี2016เวลากลางคืน มิคะสึกิมีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากการเดินทางเมื่อครู่จึงเซไปโดนยามัมบะกิริจนอีกฝ่ายต้องพยุงเขาเอาไว้ไม่ให้ล้ม

“ที่นี่… ศาลเจ้างั้นเหรอ?” ดาบจันทร์เสี้ยวค่อย ๆ ปรับโฟกัสดวงตาช้า ๆ จนเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าตน เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันยังพยุงเขาเอาไว้ไม่ห่างไปไหน

“ไปกันเถอะ”เมื่อคนอายุมากกว่ายืนด้วยขาของตัวเองได้แล้วเขาจึงปล่อยมือแล้วเดินนำหน้าออกจากศาลเจ้าไป

“ยามัมบะกิริ”เดินไปได้ซักพักมิคะสึกิร้องเรียกขึ้นมา

“หืม?”

“ข้ามองไม่เห็นทาง ขอจับมือหน่อยสิ”เวลากลางคืนนั้นไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางของดาบยาว นั่นคงทำให้เขามองไม่ค่อยเห็นทาง

“หา? ทั้งที่ไฟสว่างขนาดนี้เนี่ยนะ??”คนถูกขอร้องโวยวาย แก้มขาวเนียนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเหมือนหญิงสาวยามเขินอาย

“ก็ข้าแก่แล้ว สายตาก็ฝ้าฟาง เจ้ายังหนุ่มยังแน่นถือว่าสงเคราะห์คนแก่เถอะ”

“แต่… แต่กายเนื้อท่านมันไม่แก่นี่!! คนทั่วไปจะมองยังไงถ้าเห็นผู้ชายเดินจับมือกัน??”

“เป็นคนรักกันก็จับมือกันไม่ได้เหรอ?”คนฟังถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำว่า คนรัก

“ข้านึกว่าพวกคนสมัยใหม่จะเปิดกว้างกว่านี้เสียอีก น่าเสียดายจังนะ…”มิคะสึกิบ่นแสดงความน้อยใจ เด็กหนุ่มคนรักพยายามข่มอารมณ์เขินอายเอาไว้โดยแสดงออกมาในรูปของอารมณโกรธแทน

“มันช่วยไม่ได้นี่ รีบไปกันได้แล้ว!!”

จริง ๆ แล้วแม้ดาบยาวจะไม่เหมาะแก่การรบยามค่ำคืน แต่เมื่อมาอยู่ในยุคปัจจุบันที่ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน ทั้งรอบกายยังเต็มไปด้วยแสงสีสว่างไสว ทำให้ทาจิหนุ่มไม่ได้รู้สึกลำบากเท่าไหร่นักเวลาเดินเท้า ที่เอ่ยปากออกไปก็เพียงต้องการเข้าใกล้คนรักของตนบ้างเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่เล่นด้วยเลย น่าเสียดายชะมัด

สองร่างเดินออกจากศาลเจ้าข้ามสะพานมาหยุดอยู่ตรงหน้าสถานที่แปลกประหลาดที่มิคะสึกิไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ยามัมบะกิริยื่นแผ่นป้ายบางอย่างขนาดเท่าอุ้งมือมาให้ เขาจับมันพลิกหน้าพลิกหลังดูทันทีว่ามันคืออะไร

“ใช้สิ่งนี้แตะกับเจ้าเครื่องนั่น พอประตูเปิดท่านก็เดินเข้าไปข้างใน”ยามัมบะกิริชี้ไปที่เครื่องมือประหลาดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

“เข้าไปทำไม?”คนแก่ถามด้วยความสงสัย

“ในยุคนี้ผู้คนเดินทางโดยยานพาหนะที่เรียกว่ารถไฟ ท่านต้องมีสิ่งนี้ถึงจะสามารถขึ้นรถไฟได้”

“อย่างนี้นี่เอง เรียกอีกอย่างก็คือใบผ่านทางสินะ”

“ประมาณนั้น”เด็กหนุ่มตอบเรียบ ๆ พลางแตะบัตรกับเครื่องให้ดูเป็นตัวอย่างและเดินเข้าไปรออยู่ข้างใน

ดาบยาวจากยุคเฮอันได้แต่เป็นฝ่ายเดินตามต้อย ๆ เพราะไม่เคยมาเที่ยวยุคปัจจุบันมาก่อน เมื่อเห็นอุจิคาตานะร่างเล็กกว่านำทางได้อย่างคล่องแคล่วแม้จะมีทางแยกซับซ้อนเพียงใดก็อดทึ่งไม่ได้

“เจ้ารู้เหรอว่าไปทางไหน?”

“ก็บอกแล้วว่านายท่านเคยพาข้ามา ข้าเองก็พอจะจำทางได้อยู่”

เดินซ่อกแซ่กได้ซักพักก็ถึงชานชาลาที่ตามหาเสียที ผู้คนยืนต่อแถวรอขึ้นรถไฟกันเต็มไปหมดเพราะหนึ่งทุ่มของที่นี่เป็นเวลาเลิกงาน และเป็นเวลาเที่ยวของหนุ่มสาววัยรุ่น

“นอกจากยาแล้วนายท่านสั่งให้ซื้ออะไรอีกงั้นเหรอ?”คนถูกถามไม่ตอบ แต่กลับยื่นใบรายการซื้อของให้ดูแทน

 

รายการซื้อของ

1.ยาแก้ปวดยี่ห้อEVE

2.เค้กช็อคโกแล็ตลาวา

3.ชีสทาร์ต

4.พายหน้าผลไม้รวม

5.สตรอว์เบอร์รี่ช็อตเค้ก

6.ชูครีม

7.แยมโรลผลไม้

8.ของที่ท่านมิคะสึกิอยากได้

9.ของที่ท่านยามัมบะกิริอยากได้

–ซานิวะ–

 

ดูจากรายการของที่ให้ซื้อถ้าขนมพวกนี้ไม่ได้ซื้อไว้สำหรับงานเลี้ยงคริสต์มาส ก็ต้องแปลว่านายท่านของพวกเขาเป็นพวกติดของหวานมากแน่ ๆ แต่สองอย่างสุดท้ายนั่นมัน…

“ของที่ข้าอยากได้กับของที่เจ้าอยากได้นี่…”

“ช่างมันก่อนเถอะ รีบไปซื้อของที่นายท่านสั่งก่อน ท่านอยากได้อะไรก็บอกข้าแล้วกัน”เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา ผู้คนก็ต่างพากันเดินเรียงแถวขึ้นรถไฟอย่างเป็นระเบียบ แต่เพราะจำนวนคนมหาศาลทำให้รถไฟไม่สามารถรับคนได้หมดในเที่ยวเดียว แถมยามัมบะกิริยังต้องยืนเบียดกับมิคะสึกิเป็นปลากระป๋องบนรถไฟอีก

 

แบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเลย ให้ตายสิ…

 

แสงสีในยุคปัจจุบันช่างเจิดจ้า ไม่ว่าจะอะไรก็ดูแปลกใหม่สำหรับดาบเก่าแก่อายุนับพันปีอย่างมิคาสึกิ มุเนจิกะไปหมด ทุก5นาทีเขาต้องสะกิดยามัมกิริเพื่อถามว่า’นั่นอะไรเหรอ?’แล้วชี้ให้ดู คนตอบก็ตอบ ๆ ๆ จนแทบจะเบื่อตายอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้รู้ไปเสียทุกอย่างหรอก

ลิสต์รายการสั่งซื้อจากซานิวะทยอยถูกขีดฆ่าไปทีละอย่าง เริ่มจากของจำเป็นอย่างยา ตามด้วยร้านชีสทาร์ตที่อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก แล้วก็แยมโรลกับชูครีมที่สามารถซื้อได้จากร้านเดียวกัน ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินตามหาร้านเค้ก…

“ยามัมบะกิริ นี่คืออะไรเหรอ?”มิคะสึกิใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่ตู้สี่เหลี่ยมที่ตั้งเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว

“ตู้ปุริคุระ นายท่านบอกว่าเป็นตู้ที่ถ่ายรูปได้”ฟังคำตอบแล้วดาบอายุมากกว่าก็ยืนช่างใจอยู่ซักพักหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา

“ข้าอยากได้รูปล่ะ”เขาบอกกับคนที่มีหน้าที่ถือกระเป๋าสตางค์

“งั้นเข้าไปสิ เดี๋ยวข้าหยอดเหรียญให้แล้วจะรอข้างนอก”

“แต่ข้าใช้ไม่เป็นนี่ เจ้าเข้ามาสอนข้าหน่อยสิ”

“ให้ตายสิตาแก่นี่…”ยามัมบะกิริหยอดเหรียญไป500เยนก่อนเดินเข้าตู้ถ่ายรูปไปกับตาแก่ที่วอแวอยากได้สติกเกอร์รูปถ่ายอย่างกับเด็กวัยรุ่น

 

แล้วถามว่าทำไมเขาถึงรู้จักตู้นี้ดีนัก? ก็บอกได้แค่ว่านายท่านสอนให้ที่โตเกียว…

 

ภายในตู้มีเสื้อผ้าแฟนซีให้เลือกเปลี่ยนกับเครื่องสำอางค์ให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบ แต่เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายแถมการจะใช้ต้องหยอดเงินเพิ่มไปด้วย จึงได้แต่มองข้ามของเหล่านั้นไปแล้วรีบถ่ายรูปให้เสร็จ ๆ

“กล้องอยู่ตรงนี้​ นั่งนิ่ง ๆ ทำหน้าให้มันดี ๆ เดี๋ยวข้าถ่ายให้”

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถ่ายด้วยกันสิ”ดาบใต้หล้าเอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มที่ยืนค้ำหัวเขาอย่างไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่

“หา!?”เจ้าตัวร้องเสียงหลง

“นายท่านบอกให้ซื้อสิ่งที่ข้าอยากได้ แล้วข้าแค่อยากได้รูปถ่ายคู่กับคนรักของข้าก็เท่านั้นเอง”เอาอีกแล้ว… มิคะสึกิพูดว่าคนรักอีกแล้ว… ตัวเขาก็บ้าจี้จริง ๆ ที่ไปใจเต้นให้กับคำ ๆ นี้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ยมันออกมา

“…ท่านมันตาแก่เฮงซวย”ได้แต่บ่น แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงข้าง ๆ กัน

“แล้วเจ้าก็เป็นคนรักของตาแก่เฮงซวยคนนี้ยังไงล่ะ”ยามัมบะกิริพยายามทำหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดของมิคะสึกิแล้วเลือกเมนูถ่ายรูปต่อไป

ตู้ถ่ายรูปนี้จะมีเมนูหนึ่งให้เลือกว่าถ่ายเดียว ถ่ายคู่เพื่อนหรือถ่ายคู่แฟน แน่นอนว่าคนที่ทำเป็นเลือกเมนูถ่ายคู่เพื่อนอย่างรวดเร็ว คนที่นั่งมองอยู่ก็อยากจะทักอยู่หรอก แต่พอเห็นใบหูแดง ๆ นั่นก็ได้แต่ยิ้มแล้วคิดว่าไม่ถามดีกว่า

“เอ้า ยิ้ม…”เด็กหนุ่มสั่ง

แชะ!!

รูปสี่ช็อตที่ทั้งคู่ถ่ายปรากฏอยู่เต็มหน้าจอ มีทั้งรูปปกติ รูปตอนที่เขาแอบมองหน้ายามัมบะกิริ รูปตอนที่ไปหอมแก้มยามัมบะกิริ แล้วก็รูปที่ยามัมบะกิริโวยวายผลักเข้าออกจากเฟรมจนรูปเบลอ…

ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่เสียเวลาที่สุด… ขั้นตอนการแต่งรูป…

“โห… มีเครื่องประดับให้ใส่เยอะแยะเลย”

“เขาเรียกว่าสติกเกอร์มั้ยล่ะ…”เด็กหนุ่มแก้ให้เป็นคำทับศัพท์ทันสมัย แน่นอนว่าคำพวกนี้นายท่านก็สอนให้ที่โตเกียวเช่นกัน

มิคะสึกิจิ้ม ๆ ลบ ๆ สติกเกอร์อยู่นานจนทั้งรูปมีแต่สติกเกอร์ล้นเฟรม คนนั่งมองได้แต่กุมขมับอยากจะแย่งปากกาแต่งรูปมาใช้แทน

“นี่ท่านแต่งรูปเป็นมั้ยเนี่ย?”ดาบจำลองเอ่ยถาม

“ไม่เป็นหรอก”นั่นไง…

“เอามานี่เลย ข้าแต่งเอง”ปากกาแต่งรูปถูกแย่งไปจากมือดาบใต้หล้า ใครจะคิดเล่าว่านอกจากจะแต่งตัวไม่เป็นแล้วเซนส์การแต่งรูปยังจะแย่อีก

สติกเกอร์ที่มิคะสึกิใส่ลงไปถูกลบออกจนหมด ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระใช้ทักษะที่แต่งรูปที่นายท่านสอนให้ที่โตเกียว(อีกแล้ว)ให้เป็นประโยชน์ ทั้งดาว ทั้งสายรุ้ง ทั้งดอกไม้ถูกแปะไว้ในที่ ๆ มันควรจะอยู่ สุดท้ายคือสติกเกอร์ประจำเทศกาลอย่างMerry Christmas

“ยามัมบะกิริ ใส่นี่เข้าไปด้วยสิ”มิคะสึกิชี้ไปที่สติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงกับชมพูหวานแหวว

“ค… แค่นี้ก็ไม่มีที่ให้ใส่แล้ว!?”คนฟังมองสติกเกอร์แล้วถึงกับขมวดคิ้วกดปริ้นรูปแทบไม่ทัน

“ไม่เห็นต้องรีบพิมพ์รูปขนาดนั้นเลย”

“ไม่รีบได้ยังไงล่ะ ท่านอย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้ซื้อเค้กให้นายท่านเลยนะ”

หลังจากได้สติกเกอร์ร่างสูงดูจะเห่อเอามาก ๆ ถึงกับหยิบมาดูตลอดทางไม่ยอมเก็บเข้ากระเป๋าเสียที มืออีกข้างก็ถือถุงยา ชูครีม ชีสทาร์ต แยมโรลแกว่งไปแกว่งมา นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมยามัมบะกิริต้องถือกล่องเค้กด้วยตัวเอง

“นี่เป็นรูปคู่รูปแรกของเจ้ากับข้าเลยนะ”มือแกร่งในถุงมือหนังสีดำยื่นรูปถ่ายให้เด็กหนุ่มดู เขาได้แต่เบือนหน้าหนีแล้วทำเฉไฉ

“เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ ถ้าหายข้าไม่พามาถ่ายใหม่นะ”

“จะเก็บรักษาเท่าชีวิตเลยล่ะ”แล้วรูปสี่ช็อตใบนั้นก็ถูกเก็บลงกระเป๋าเสื้อโค้ทไป

“เอาล่ะ ได้เวลากลับแล้ว…”ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟ เจ้าของเรือนผมสีทองหยิบเอาICการ์ดออกมาจากแจ็คเก็ตทำท่าจะเดินเข้าสถานี แต่ก็ถูกคนที่มาด้วยกันทักท้วงบางอย่าง

“เดี๋ยวก่อน แล้วของที่เจ้าอยากได้ล่ะ?”อุจิคาตานะหนุ่มเหมือนจะเพิ่งนึกถึงลิสต์ข้อสุดท้ายได้ แต่อันที่จริงถึงนึกได้เขาก็ไม่ได้อยากได้อะไรอยู่ดี

“ของพรรค์นั้นน่ะไม่มีหรอก รีบกลับกันดีกว่า”

“ถ้าไม่มีก็เดินหาสิ อุตส่าห์ได้มาทั้งที อาจจะเจอของที่เจ้าอยากได้ก็ได้”คนแก่ยังคงรบเร้าไม่เลิก จนเริ่มสงสัยว่าเขาอาจจะยังไม่อยากกลับฮงมารุ

“แต่ถ้าเดินจนรอบแล้วไม่มีจริง ๆ ถึงตอนนั้นค่อยกลับก็ได้”ทำการยื่นหมูยื่นแมวเพื่อให้อีกฝ่ายยอมง่ายขึ้น นี่เพิ่งจะสองทุ่มกว่ายังเดินไม่ทั่วเลยด้วยซ้ำ

“…แค่ชั่วโมงเดียวนะ”สุดท้ายเขาก็ยอมตามใจมิคะสึกิอีกตามเคย

“ต้องแบบนี้สิ”

จริง ๆ ไม่ใช่เพราะอยากจะเดินหาของที่ตนอยากได้อยู่หรอก แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มิคะสึกิได้มาโตเกียวยุคปัจจุบัน อยากจะให้อีกฝ่ายได้สนุกเต็มที่ให้นานที่สุดก็เท่านั้นเอง นายท่านก็เคยบอกไว้ว่ารถไฟหมดตั้งเที่ยงคืน

 

จะว่าไปตัวเขาเองก็เพิ่งเคยมากับมิคะสึกิครั้งแรกเหมือนกันนี่นะ…

 

เดินกันจนเกือบชั่วโมงขาแข้งก็เริ่มจะชา มิคะสึกิยืนพิงพนังหลบมุมพักขามองไปทางเด็กหนุ่มผมทองที่ดูไม่ได้ตั้งใจกับการหาซื้อของซักเท่าไหร่ มีแต่เขานี่แหละที่ได้ตุ๊กตาจากตู้คีบมาตั้งเยอะแยะ กะว่าจะเอาไปแจกเด็ก ๆ เป็นการขอบคุณที่ดูแลคนแก่อย่างเขามาตลอดปี

“ไม่มีของที่อยากได้จริง ๆ เหรอ?”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ”ท่าทางไม่กระตือรือร้นแบบนั้นทำให้มิคะสึกิหมดความอดทน เขาพยายามเข้าหายามัมบะกิริมาตลอดการเดินทาง พยายามทำให้รู้สึกสนุก แต่ยามัมบะกิริทำเหมือนว่าการกระทำของเขามันช่างไร้ค่าเหลือเกิน

“เป็นอะไรไปมิคะสึกิ?”มองสีหน้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามิคะสึกิกำลังโกรธ ถึงอย่างนั้นก็ยังจะถามออกไป

“เจ้าสนุกอยู่รึเปล่า?”ร่างสูงถามอีกฝ่ายตรง ๆ

“เอ๊ะ?”

“ข้าถามว่าเจ้าสนุกอยู่รึเปล่า?”เขาถามซ้ำอีกครั้ง

เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่น คนอายุมากกว่าตัดสินใจสงบสติตัวเองลง เขาส่งถุงยาและขนมของนายท่านให้คนตรงหน้าถือก่อนเดินออกจากตรงนั้นไป

“จะไปตู้กดน้ำ รออยู่ตรงนี้นะ”บอกทิ้งท้ายเอาไว้ ยามัมบะกิริจะได้ไม่ตามเขามา

ดาบเลขาทรุดนั่งลงข้างทางนึกย้อนถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขารู้ว่ามิคะสึกิโกรธเพราะอะไร เพราะเขาไม่กระตือรือร้น เพราะเขาไม่เคยแสดงออกว่าชอบมิคะสึกิออกมาตรง ๆ เลย ทั้งปฏิเสธไม่ยอมให้จับมือแล้วยังมาเดินเที่ยวด้วยสีหน้าเบื่อโลกอีก เขามันเป็นคนรักที่แย่ที่สุด…

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบมิคะสึกิซักหน่อย ถ้าไม่ชอบคงไม่ยอมตามใจถึงขนาดนี้หรอก ที่ไม่ยอมจับมือในครั้งนี้แค่เพราะว่าอายเท่านั้นเอง จะว่าผิดมันก็ผิด แต่จะว่าไม่ผิดมันก็ไม่ผิดนะ

ใบรายการซื้อของถูกหยิบมาอ่านอีกครั้ง มีเพียงข้อ9.ของที่เขาอยากได้เท่านั้นที่ยังไม่ถูกขีดออก จนตอนนี้เขาไม่อยากได้อะไรแล้ว แค่อยากให้มิคะสึกิไม่โกรธเขาเท่านั้น และไม่รู้อะไรมาดลใจให้เขาพลิกไปหน้าหลัง ทำให้พบกับข้อความที่ท่านซานิวะเขียนถึงเขาสั้น ๆ

 

ช่วงนี้ข้าเห็นท่านกับมิคะสึกิดูห่างเหินกันไปหน่อยเลยใช้โอกาสที่ตัวข้าเป็นหวัดให้พวกท่านได้ไปเที่ยวกันสองคน ถ้าเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องก็ต้องขออภัยด้วย แต่เชื่อเถอะว่าข้าหวังดีกับท่านจริง ๆ

ปล.คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุข ขอให้ท่านสนุกกับมันให้เต็มที่นะ

–ซานิวะ–

 

นายท่านของเขาเป็นคนที่มีเหตุผลเสมอแม้กับเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ เขาน่าจะพลิกอ่านด้านหลังให้เร็วกว่านี้ จะได้ไม่เผลอทำตัวเบื่อโลกจนมิคะสึกิโกรธแบบนี้

“รอนานรึเปล่า?”ร่างสูงกลับมาพร้อมกับลาเต้และซุปข้าวโพดดูท่าทางจะกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้ว

“ข้าเห็นเจ้าไม่ชอบดื่มกาแฟเลยเลือกเป็นซุปข้าวโพดอุ่น ๆ มาให้”

“ขอบใจนะ…”แม้จะโกรธกันแต่สุดท้ายมิคะสึกิก็ยังใส่ใจเขา ๆ ไม่เคยบอกเรื่องที่ว่าไม่ชอบดื่มกาแฟให้ฟังซักครั้ง มิคะสึกิคงสังเกตเอาจากพฤติกรรมเวลาอยู่ด้วยกันสินะ

ดวงตาสีน้ำทะเลเหลือบไปเห็นใบปลิวแผ่นเล็กที่ได้มาจากร้านขายเค้ก เป็นใบปลิวโปรโมชั่นแหวนคู่รักลดราคาฉลองคริสต์มาส วงนึงสีเงินวงนึงสีทองประดับเพชรเม็ดเล็ก ๆ ดูเรียบหรูเหมาะกับมิคะสึกิ มือเย็นเฉียบหยิบมันออกมาจากถุงเค้กแล้วมองหน้าคนที่มาด้วยกัน

“มิคะสึกิ”

“หืม?”

“ข้าว่าข้าเจอของที่อยากได้แล้วล่ะ… ”

พูดจบยามัมบะกิริก็เดินตามแผนที่จิ๋วที่อยู่มูมล่างสุดของใบปลิวมาเรื่อย ๆ ดาบยาวก็ยังเป็นดาบยาว มิคะสึกิเดินรั้งท้ายหอบแฮ่กถือยา ขนมและตุ๊กตาเต็มสองมือ

“เดินเร็ว ๆ เข้าสิเดี๋ยวร้านก็ปิดหรอก”ว่าแล้วก็จับข้อมือของร่างสูงเอาไว้ให้เดินไปด้วยกัน

“ฮะ ๆ ๆ เข้าใจแล้ว ๆ”คนถูกจับข้อมือยิ้มและหัวเราะอย่างเป็นสุข

ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงร้านจิวเวอรี่ที่ตามหา ป้ายหน้าร้านเขียนบอกเอาไว้ว่าปิดทำการเวลาสี่ทุ่มตรง เท่ากับว่าพวกเขามีเวลาเลือกแหวนตั้ง45นาที

“ยินดีต้อนรับค่ะ”พนักงานหญิงในชุดสูทกระโปรงทรงเอออกมาต้อนรับอย่างสุภาพ

“คุณลูกค้ากำลังหาอะไรอยู่คะ?”

“เอ่อ… แบบนี้ยังมีอยู่มั้ยครับ?”เธอรับใบปลิวที่ลูกค้ายื่นให้มาดูก่อนยิ้มออกมา

“สร้อยแหวนคู่ใช่มั้ยคะ? เชิญทางนี้เลยค่ะ”ทั้งสองเดินตามพนักงานหญิงไปที่โซฟารับแขก เธอเชิญให้พวกเขานั่งก่อนเดินไปหยิบกล่องแหวนสีแหวนสีแดงสดกล่องใหญ่ออกมาจากเคาน์เตอร์

“คุณลูกค้าเลือกไซส์แหวนได้เลยค่ะ”กล่องถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนเงินเรียบ ๆ หลายสิบวง เป็นแหวนสำหรับวัดขนาดนิ้วของผู้สวมใส่โดยเฉพาะ ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเริ่มลองที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองก่อน

“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยากได้ของแบบนี้”มิคะสึกิแซว

“เงียบน่า… ส่งมือมาสิ”ทาจิหนุ่มส่งมือซ้ายให้ก่อนที่อุจิคาตานะตรงหน้าจะเริ่มสวมแหวนให้เขาทีละวง

นิ้วมือคนเรามีทั้งหมดห้านิ้ว ยามัมบะกิริจะเลือกใส่นิ้วไหนให้เขาก็ได้ แต่กลับเลือกเฉพาะเจาะจงที่นิ้วนางแถมยังเป็นข้างซ้าย ไม่รู้ว่าจงใจรึเปล่าแต่นี่ทำให้เขาได้เห็นการแสดงออกทางความรักของยามัมบะกิริที่ได้เห็นไม่บ่อยนัก

เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามิคาสึกิใส่แหวนไซส์ใหญ่กว่าเขาเพียงสองไซส์เท่านั้น ดาบเลขากรอกไซส์แหวนลงไปในแบบฟอร์มก่อนส่งให้พนักงานที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลังพวกเขา

“รอรับสินค้าซักครู่นะคะ”แล้วเธอก็หายไปหลังร้านทิ้งให้บุรุษศาสตราทั้งสองอยู่กันตามลำพัง พร้อมการ์ดหน้าร้านอีกหนึ่งคน…

ทั้งคู่ได้แต่นั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา ยามัมบะกิริยังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษมิคะสึกิซักคำทั้งที่สำนึกว่าตนเป็นฝ่ายผิด เหมือนคำขอโทษมันจุกอยู่ที่ลำคอไม่ยอมออกมา

จนเมื่อพนักงานหญิงคนเดิมเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมถุงกระดาษสีกรมท่าและใบเสร็จ คนดูแลกระเป๋าตังค์ควักเงินจ่ายก่อนเดินออกจากร้านไปพร้อมกับผู้ติดตาม

“เอาล่ะ ทีนี้คงต้องกลับกันจริง ๆ ซักที”ตอนนี้สามทุ่มสี่สิบห้า แม้รถไฟจะยังไม่หมดแต่เงินของนายท่านนั้นจะหมดแล้ว

“หืม?”แสงไฟสีขาวทองสว่างเจิดจ้าตรงหน้าทั้งคู่ ดึงดูดให้ผู้คนแวะไปถ่ายรูปเก็บความทรงจำก่อนกลับ

“อุโมงค์ต้นไม้แบบนี้สวยดีเนอะ”ดาบอายุนับพันปีเอ่ยออกมาเมื่อได้เห็นภาพประทับใจตรงหน้า

“มิคะสึกิ”ยามัมบะกิริเรียกชื่อเขา

“ว่าไง?”

“หันหลังมาหน่อย”คนถูกขอร้องยอมหันหลังโดยง่าย

สร้อยแหวนคู่ที่เพิ่งซื้อมาถูกนำมาคล้องรอบคอของดาบใต้หล้า ความเย็นจากสายสร้อยทองคำขาวบอกเขาแบบนั้น และเมื่อยามัมบะกิริสวมสร้อยให้มิคะสึกิและตนเองเรียบร้อยจึงจับไหล่อีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้ากัน

“นายท่านบอกว่าคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุข นายท่านเองก็อยากให้ข้ามีความสุขด้วย”

“แน่อยู่แล้ว ก็เจ้าเป็นดาบเล่มโปรดของนายท่านนี่นา”

“แต่ว่า… ตัวข้าก็อยากทำให้ท่านมีความสุขเหมือนกันนะ”มือเย็นเฉียบกำสร้อยแหวนเงินที่ตนใส่อยู่เพื่อดับความตื่นเต้นราวกับว่ามันเป็นเครื่องราง สมองค่อย ๆ เรียบเรียงประโยคออกมาช้า ๆ แล้วพูดออกมาให้อีกฝ่ายได้ฟังความรู้สึกจากใจเขาชัด ๆ

“ข้าขอโทษที่ไม่เคยบอก ที่ผ่านมาท่านเอาแต่แกล้งข้า ปั่นหัวข้าจนข้าหงุดหงิด แต่ไม่รู้ทำไมในความหงุดหงิดข้ากลับรู้สึกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก”ตอนนี้ยามัมบะกิริรู้สึกเหมือนมีเสียงวิ้ง ๆ ดังอื้ออึงอยู่ในหูจนไม่ได้ยินในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป ยังไงก็อยากให้รู้ว่าเขารู้สึกต่อมิคะสึกิอย่างไร

“ข้ามีความสุขมากนะเวลาที่อยู่กับท่าน เพราะงั้น… วันนี้เลยอยากตอบแทนท่านที่คอยมอบความสุขให้ข้ามาตลอดบ้าง แต่… สุดท้ายข้าก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ท่านทำให้ข้า…”

“ขอบคุณนะ ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ”มือใหญ่วางบนศีรษะของเขา สัมผัสเพียงแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจนถึงหัวใจ

“แค่เจ้าบอกว่าอยากทำให้ข้ามีความสุข แค่นี้ข้าก็มีความสุขที่สุดแล้วล่ะ”

ของที่ซื้อมาถูกวางไว้ข้างตัว ร่างสูงดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเขาโดยไม่สนสายตาใคร เรียวปากคมจรดอยู่ตรงหน้าผากมนพอดีโดยไม่ต้องย่อให้ต่ำหรือเขย่งให้สูงกว่านี้ เป็นความพอดีที่ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรให้มากมาย

“กลับกันเถอะ นายท่านรอยากับขนมอยู่นะ”

“น… นั่นสินะ… ลืมไปเลย…”สองร่างผละออกจากกัน ถุงขนมที่วางอยู่บนพื้นลอยขึ้นเตรียมตัวเดินทางข้ามเวลากลับไปกับพวกเขา เด็กหนุ่มสวมฮู้ดรวมเค้กและกล่องแหวนไว้ในถุงเดียวแล้วยื่นมือข้างที่ว่างให้มิคะสึกิ

“หืม?”

“มือ… มองทางตอนกลางคืนไม่เห็นไม่ใช่รึไง”เขาพูดอ้อมแอ้มหลบสายตา แต่ปิดบังความเขินอายไม่มิด

“ตกลงพวกคนรุ่นใหม่เขาไม่ถือเรื่องที่เป็นผู้ชายด้วยกันใช่มั้ย?”

“ช่างพวกนั้นเถอะน่า… อ๊ะ!?”มิคะสึกิถอดถุงมือหนังของตนออกก่อนจับมือยามัมบะกิริซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทอุ่น ๆ ของตน นิ้วมือทั้งห้าสอดประสานกันแบบคนรักอย่างที่เขาอยากทำกับคนอายุน้อยกว่ามาตลอด

“ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้วเนอะ”ไม่มีใครเห็นเพราะซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทไงล่ะ

“…เจ้านี่มันตาแก่น่ารำคาญของแท้เลย”ก็เห็นด่าแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนคบกัน แล้วดูต้นรักต้นใหญ่ที่ออกดอกบานสะพรั่งกลางหน้าหนาวสิ ดูเติบโตขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนแทบจำไม่ได้เลย

แม้จะยังทำหน้าเบื่อโลกอยู่แต่ใบหูแดง ๆ ก็ไม่เคยโกหกได้สำเร็จเลย มิคะสึกิรักท่าทางเหล่านั้น รักทุกอย่างที่เป็นยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ เหมือนที่เด็กหนุ่มชอบในความเป็นตาแก่น่ารำคาญของเขานั่นไง

“ฮะ ๆ ๆ ดีแล้วล่ะ ๆ”

FIN

**************************************

Free Talk :

กลับมาแล้วค่ะะะะะะะะะะะะ~ //กระโดดกอด

หายตัวไปทำไฟนอลโปรเจ็ค+สอบไฟนอลมาค่ะ แล้วก็ก่อนหน้านั้นหนีความจริงไปเที่ยวญี่ปุ่นมาด้วย ยุ่งม๊ากกกกกกกก มากกกกกกก

ตอนพิเศษคริสต์มาสอาจจะช้าไปหน่อยเพราะคอมพืชพังค่ะ ลองอัพในมือถือก็ไม่เวิร์คสุดท้ายเลยต้องนั่งรอยันเที่ยงคืนให้แม่ขึ้นไม่นอนแล้วยืมเอาโน้ตบุ๊คแม่มาอัพฟิคค่ะ—–

ตอนนี้ได้ไอเดียมาจากตัวพืชเองคือเวลาไปเที่ยวชอบหิ้วนุยติดกระเป๋าไปเดิน ไปถ่ายรูปเล่นด้วย+มโนว่าถ้าซนว.ส่งดาบมาเผชิญโชคยุคปัจจุบันจะเป็นยังไง เลยเกิดเป็นฟิคสั้นวันพิเศษ(แบบเลท ๆ)ขึ้นมาค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านนะคะที่รู้ทั้งรู้ว่าพืชอู้หายไปแต่ก็ยังติดตาม ยังเมจเสจมาคุยกันอยู่ ทำเอาพืชรู้สึกผิดที่ดองเลยค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ขอขอบตุณจริง ๆ ค่ะ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ รัก<3