[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 13

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

แฟนฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ตภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ จากพล็อตดั้งเดิมของคุณโค่มาเพิ่มเติมในส่วนเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อย บลา ๆ ๆ

แอนด์!!

ชื่อตัวละครทุกตัวในเรื่องถูกดัดแปลงจากชื่อจริงของดาบในเกมเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยตามเนื้อเรื่อง โดยในส่วนนี้ได้ทำการขออนุญาตและปรึกษาคุณโค่มาแล้วเช่นกัน ดังนั้น ห้าม!! นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณโค่เด็ดขาดค่ะ

(ไม่ต้องมาขอเราเน้อ เราก็ไปขอคุณโค่มาอีกทีเหมือนกัน ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ)

อย่างไรก็ตามทางผู้แต่งอยากให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลกับของคุณโค่ เพราะทางผู้แต่งได้อ้างอิงมาแค่พล็อต“หลักๆ”เท่านั้น โปรดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และใช้สะพานข้ามแยกเกษตรในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

ชื่อตัวละครแบบแปลงไทย

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์  = มิคะสึกิ มุเนะจิกะ     //     ยมลภา นครไพศาล = ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ

หรินะ นครไพศาล = โฮริคาวะ คุนิฮิโระ     //     ยมบุรชิต นครไพศาล = ยามะบุชิ คุนิฮิโระ

โสรษา สรณ์สิริ(แม่โซ่) = โซสะ ซามอนจิ     //     ครู/แม่เกษม = คะเซ็น คาเนะซาดะ

นาครินทร์(แม่อ้อย) = นิคคาริ อาโอเอะ     //     หัสริยา(แม่ผึ้ง) = ฮาจิสึกะ โคเท็ตสึ

**************************************

บทที่ 13 : คนรัก

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…

วันแต่งงานของหมออิทธิพัทธ์…

 

“แต่งตัวเสร็จแล้วหรือน้องมล… เหวอ!?”พี่ชายคนรองถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กของตนเดินออกมาจากห้อง

“ทำไมถึงใส่ผ้าคลุมหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“ก… ก็ข้าไม่ชินนี่… คนเยอะขนาดนั้น ถ้าไม่มีผ้าคลุมหน้าล่ะก็ไม่ไหวหรอก”น้องสาวตอบเสียงเบา

แม้จะใส่ชุดไทยคอปกตั้งทับด้วยสไบปักดิ้นทองสีฟ้าดูสวยสง่า แต่ผ้าแพรคลุมหน้าผืนนั้นดันกลบความงามเหล่านั้นจนมิด พี่ชายทนไม่ได้ที่จะเห็นน้องสาวออกงานด้วยสภาพนี้จึงเดินเข้าหาหมายจะยึดผ้าคลุมหน้าผืนนั้นเอาไว้

“แต่มันดูไม่ดีนะ ยังไงก็ต้องถอดออก”

“ไม่เอา!!”ร่างบางกรีดร้องก่อนจะวิ่งไปหลบหลังพี่ใหญ่ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล

“น้องมล… อย่าดื้อสิ…”หรินะยังไม่ลดละความพยายามให้การตะล่อมให้ยมลภาถอดผ้าคลุมหน้าให้จงได้ น้องสาวคนเล็กส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ใหญ่ช่วยจนเขาเริ่มจะใจอ่อน

“ไม่เอาน่าหรินะ น้องก็บอกอยู่ว่าถ้าไม่มีผ้าคลุมหน้าน้องคงไม่ไหว”

“ท่านพี่จะตามใจน้องมลเกินไปแล้วนะครับ”เพราะมัวแต่โอ๋กันอยู่แบบนี้ไงน้องสาวถึงได้ดื้อแบบนี้ ได้แต่บ่นในใจจนลืมไปว่าตนเองก็มีส่วนในการตามใจน้องจนเธอเอาแต่ใส่ผ้าคลุมหน้ามาเกือบสิบปี

“บางครั้งเราก็ต้องรู้จักยืดหยุ่นบ้างนะ”ถ้าพี่ใหญ่พูดขนาดนั้นหรินะก็เถียงอะไรต่อไม่ได้ ร่างสูงใหญ่หันกลับไปหาน้องสาวของเขาที่ได้แต่ยืนตัวสั่นไหวเพราะความตื่นกลัว

“เอาล่ะน้องมล มาทำข้อตกลงกันดีกว่า พี่กับหรินะจะอนุญาตให้เจ้าคลุมหน้าไปงานได้”คนฟังคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้รับอนุญาตจากพี่ใหญ่

“แต่ว่าเวลาอยู่ในพิธีหรืองานเลี้ยงน้องต้องถอดออก เข้าใจมั้ย?”เมื่อฟังจนจบรอยยิ้มนั้นก็หายไป

“แต่… ถ้าไม่มีผ้า…”

“พี่เข้าใจเจ้าดี”มือหนาลูบหัวปลอบโยนราวกับเธอเป็นเด็กน้อย

“แต่เจ้าก็รู้ว่าการคลุมผ้าปิดหน้าปิดตาออกงานสังคมมันดูไม่ดี แค่งานนี้งานเดียวนะ เราสามพี่น้องไม่ได้ออกงานสังคมกันบ่อย ๆ เสียหน่อย”

“ใช่ครับ ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อุตส่าห์เชิญทั้งที ถอดผ้าคลุมแค่งานนี้งานเดียวไม่เป็นไรหรอก”เอ่ยนามของเขาคนนั้นออกมาเพื่อล่อลวงให้น้องสาวยินยอมรับข้อเสนอโดยง่าย ร้ายกาจอย่างไม่สมกับเป็นหรินะเลยจริง ๆ

“ตกลงตามนี้นะ?”ยมบุรชิตถามย้ำ

“…ก็ได้”

“อย่างนี้สิน้องพี่!! ไปกันเถอะ รถม้ามารออยู่แล้ว”แผ่นหลังเพรียวบางถูกดันให้เดินไปข้างหน้า รถม้าคันใหญ่จอดรอรับสามพี่น้องอยู่หน้าเรือนจะถอยกลับตอนนี้คงไม่ทันแล้ว มีแต่จะต้องจำใจยอมออกงานสังคมที่เกลียดนักเกลียดหนาจริง ๆ นั่นแหละ

ในขณะที่ยมบุรชิตและหรินะนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ยมลภาก็ได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ทั้งยังรู้สึกหัวหมุนราวกับจะคลื่นไส้ ออกงานครั้งแรกในรอบหลายปีวันนี้เธอจะอยู่รอดจนจบงานมั้ย? ถ้าขอพี่กลับบ้านหลังจบพิธีพวกเขาต้องไม่อนุญาตแน่ ๆ

คิดสะระตะไปเรื่อยจนในที่สุดรถม้าก็หยุดลง พวกเธอมาถึงเรือนท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เร็วเกินไปมั้ย? เธอยังไม่ทันได้เตรียมใจจะออกไปเผชิญโลกภายนอกเลยนะ…

“น้องมลรออยู่ที่นี่นะ พี่กับพี่ใหญ่จะไปร่วมขบวนขันหมากที่บ้านท่านเจ้าพระยา”บ้านท่านเจ้าพระยา? แสดงว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์หรอกหรือ? แล้วที่นี่ที่ไหน?

“แต่ว่า…”เธอได้แต่อึกอักทำท่าไม่อยากลงจากรถม้า

“ไม่ต้องห่วงนะ แม่ผึ้งก็อยู่ด้วย ทำใจให้สบายเถอะ”

“แม่ผึ้ง?”

“อ่า… น้องมลคงจะจำไม่ได้สินะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าได้เจอหน้ากันต้องจำได้แน่ ๆ”หรินะยังคงมองโลกในแง่ดีโดยไม่ไถ่ถามสุขภาพจิตน้องสาวซักคำ สุดท้ายเธอก็ต้องเดินลงจากรถม้าโดยที่ไม่มีพี่ชายทั้งสองตามลงมาด้วย เรือนกว้างที่อยู่เบื้องหน้านี้คือที่ใดกันหนอ…

“งั้นพวกพี่ไปล่ะนะ”รถม้าเคลื่อนออกไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งต้องออกงาน ทั้งถูกทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ชะตากรรมของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป…

ก่อนหน้านี้หรินะบอกว่า แม่ผึ้งก็อยู่ด้วย เธอจำไม่ได้หรอกว่าแม่ผึ้งที่พี่ชายเธอพูดถึงเป็นใคร อาจจะเป็นคนที่เคยเจอเมื่อนานมาแล้ว แต่คิดจนปวดหัวก็ยังนึกหน้าแม่ผึ้งคนนั้นไม่ออกอยู่ดี

ขาเพรียวก้าวข้ามรั้วเข้าไปอย่างจำใจ จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีบัตรเชิญที่ได้รับจากท่านเจ้าพระยาติดมือมาด้วย คนที่นี่จะรู้หรือไม่ว่าเธอเองก็เป็นแขกเหมือนกัน เธอจะไม่ถูกไล่ออกจากงานใช่มั้ย? ไม่ไหวแล้ว… อยากกลับบ้านแล้ว…

“หืม? นั่นใครน่ะ?”หญิงสาวผมยาวสลวยสีม่วงอ่อนร้องทักจากที่ไกล ๆ ก่อนค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธอ เสื้อลูกไม้แบบฝรั่งสีทองอร่ามตัดกับโจงกระเป็นสีม่วงเข้มที่เธอคนนั้นใส่เวลาต้องแสงอาทิตย์ดูสว่างเจิดจ้าจนแสบตาไปหมด

“เอ่อ… ข้า… ข้า…”เธอเอาแต่อ้ำอึ้งท่าทางเลิ่กลั่กไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

“อ้าว!! แม่ยมลภาไม่ใช่รึ?”หญิงสาวผมสั้นอายุราวยี่สิบต้น ๆ เรียกชื่อเธอออกมา เธอคนนั้นรู้จักชื่อเธอได้อย่างไร? ในเมื่อเธอค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยคบค้าสมาคมกับพวกหญิงสาวชนชั้นสูงมาก่อน

“ยมลภา? แม่มลน้องสาวพ่อหรินะน่ะหรือ?”

“ช… ใช่จ้ะ…”คนถูกถามพยักหน้าตอบ

“แม่มล!!”หญิงสาวทั้งสองวิ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกันจนเธอตกใจเกือบจะเดินหนี พวกเธอคือใคร? ทำไมถึงรู้จักเธอ? ตอนนี้มีแต่คำถามแบบนี้วนไปวนมาอยู่ในหัวเธอเต็มไปหมด

“เอ่อ… พวกท่านคือ…”

“ข้าเอง แม่ผึ้งไง”

“แม่ผึ้ง?”หมายถึงแม่ผึ้งที่พี่ชายเธอพูดถึงนั่นหรือ?

“แล้วนี่ก็แม่เกษม จำไม่ได้หรือ? พวกเราเคยเจอกันตอนเด็ก ๆ ไง”เคยเจอกันตอนเด็ก ๆ ก็หมายความว่านานมาแล้วน่ะสิ เรื่องแบบนั้นเธอจำไม่ค่อยได้หรอก แต่ถ้าตอบไปตรง ๆ ว่าจำไม่ได้ก็เสียมารยาทแย่น่ะสิ คิดได้ดังนั้นจึงได้แต่เก็บไว้ในใจไม่แสดงอาการอะไรออกมา

ไม่แปลกหรอกที่เธอจะจำไม่ได้ พ่อเธอเป็นพ่อค้าต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา เธอที่ตามพ่อไปทำงานตั้งแต่เด็กก็ได้พบผู้คนมากมายเช่นกัน หากได้เจอกันครั้งสองครั้งแบบแม่ผึ้งกับแม่เกษมไม่ได้เจอกันเกือบทุกวันแบบสัตยะเธอจำไม่ได้หรอก แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมสองคนนี้ถึงจำเธอได้กันล่ะ?

“เอ่อ…”

“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งอยู่เลย ขึ้นไปบนเรือนก่อนเถอะ”สองสาวพาเธอขึ้นไปบนเรือนทั้งที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ แต่อย่างน้อยให้เป็นแบบนี้ก็ยังดีกว่าถูกไล่ออกจากงานเพราะไม่มีบัตรเชิญล่ะนะ

 

 

 

ร่างบางภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้าถูกพาตัวมาอยู่ในห้องเก็บตัวเจ้าสาว จนป่านนี้ยมลภาเพิ่งจนรู้ตัวว่าเรือนไม้ที่เธออยู่นี้คือเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณสหายของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้มีศักดิ์เป็นอาของแม่อ้อยนางเอกของงานนี้ แต่นี่เธอเป็นคนนอกนะ ไม่ได้รู้จักอะไรกับเจ้าสาวด้วยซ้ำทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้ได้ล่ะ?

“ข่าวลือที่ว่าเจ้าคลุมผ้าปิดหน้าปิดตาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นจริงสินะ นั่นไม่สง่างามเลยนะ”แม่เกษมเอ่ยขึ้นมาพลางกรีดพัดในมือ เธอได้แต่นั่งเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“พวกข้าเห็นผ้าปักของแม่อ้อยก็รู้เลยว่าต้องเป็นฝีมือเจ้า นี่ยังคุยกับแม่ผึ้งเลยว่าเจ้าจะมางานนี้รึเปล่า”หากได้รับบัตรเชิญก็ต้อง(จำใจ)อยู่แล้ว… เมื่อกี้บอกว่าอะไรนะ? เห็นผ้าปักแล้วรู้เลยว่าเป็นฝีมือเธอ? ไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย?

“เดี๋ยวสิ ไม่คิดจะแนะนำแม่สาวคนนี้ให้ข้ากับแม่โซ่รู้จักหน่อยหรือ?”ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวเธอเอ่ยขึ้นมา เพียงเห็นผ้าสไบปักดิ้นทองฝีมือเธอผืนนั้นเธอก็รู้ได้เลยว่าคน ๆ นี้ต้องเป็นเจ้าสาวของท่านหมออิทธิ์พัทธ์แน่ ๆ แม้จะดูตัวเล็กกว่าที่เธอคิด แต่เมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเต็มยศกลับดูสวยเด่นไม่แพ้ใคร

“ลืมไปเลย นี่แม่ยมลภาหรือจะเรียกว่าแม่มลก็ได้ ข้ากับแม่ผึ้งรู้จักนางสมัยยังเด็ก”

“ฝีมือปักผ้าของนางเลื่องลือในวงสังคมมากเลยนะ แล้วนางก็เป็นคนปักผ้าสไบผืนนั้นให้เจ้าด้วยนะแม่อ้อย”แม่ผึ้งยกยอเธอจนเผลอดีใจไปชั่วขณะหนึ่ง ถ้าฝีมือปักผ้าเธอดังขนาดนั้น แม่เกษมกับแม่ผึ้งจะรู้จักและจำเธอได้ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่

“จริงรึ? ไม่คิดเลยว่าจะมีช่างปักผ้าฝีมือดีอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้”แม้จะบอกว่าเป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่เจ้าสาวดูจะไม่รู้จักเธอ

“ข้าชื่อนาครินทร์ แต่เรียกแม่อ้อยก็ได้ ส่วนนั่นโสรษาหรือจะเรียกแม่โซ่ก็ได้”

“ส… สวัสดีจ้ะ…”ร่างบางกระพุ่มมือไหว้หญิงสาวที่ชื่อโสรษาอย่างสุภาพ

คุณโสรษาหรือคุณโซ่เพื่อนเจ้าสาวใส่ชุดแขนหมูแฮมสีชมพูดูทันสมัย เครื่องประดับหรูหราที่ใส่ขับให้ผิวที่งามอยู่แล้วงามขึ้นไปอีก พอมารวมกับใบหน้างามปนเศร้าของเธอแล้วยิ่งพิศดูก็ยิ่งงาม หากงามขนาดนี้คงจะเป็นผู้ลากมากดีเก่ากระมัง

“ดูซิ อะไรของเจ้าเนี่ยแม่มล ออกงานทั้งทีไม่คิดจะถอดผ้าคลุมหน้า แต่งหน้าแต่งตาหน่อยหรือ?”ใบหน้าขาวเนียนไร้การแต่งแต้มก้มหลบทันทีที่โดนแม่เกษมทัก เป็นผู้หญิงทั้งทีแต่กลับแต่งหน้าไม่เป็นหากรู้เข้าต้องโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่

“ข้า… ข้าไม่ควร…”

“ไม่ควรอะไร? ไม่เคยได้ยินหรือโบราณเขาว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นั่งลงเลยเดี๋ยวข้าจัดการให้”

“แม่เกษมได้ของเล่นชิ้นใหม่แล้ว”เจ้าสาวคนสวยเอ่ยเย้า

“ให้ตายสิ ทั้งที่ปักผ้าก็งาม หน้าตาก็สะสวย แต่กลับไม่ดูแลตัวเองไม่หัดแต่งหน้าแต่งตา ไม่สง่างามเลยจริงๆ นะ”เครื่องสำอางค์ของเจ้าสาวถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเธอ เพราะไม่เคยเอาอะไรมาสัมผัสผิวหน้ามาก่อนพอแม่เกษมมาแต่งนู่นเติมนี่จึงรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด แต่จะโวยวายหรือจะหนีก็ไม่ได้ต้องจำยอมเป็นตุ๊กตาให้แม่เกษมแต่งหน้าอยู่แบบนี้จนกว่าจะเสร็จนั่นแหละ

“ให้ข้าช่วยนะ”เสียงอ่อนหวานของคุณโซ่ดังขึ้นที่ข้างหู ตอนนี้เธอยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตาจริง ๆ เข้าไปใหญ่

ในระหว่างที่สองสาวแต่งหน้าให้เธอก็เอาแต่หลับตาปี๋ไม่ยอมมองใบหน้าของตัวเองในกระจกจึงไม่รู้ใบหน้าของตนในยามนี้เป็นเช่นไร อีกสองสาวคือแม่ผึ้งกับแม่อ้อยก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับเขาหรอก ได้แต่มองตาละห้อยแล้วบอกให้เติมนู่นลบนี่บ้างเป็นครั้งคราว เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายติชมก็ไม่ผิดนัก

หลังจากแต่งหน้าเสร็จผ้าแพรคลุมหน้าก็ถูกยึดเอาไว้ไม่ให้เจ้าของได้ใช้มันอีก จะร้องขอเพียงใดแม่เกษมก็ไม่ยอมคืนให้ อ้างว่าพี่ชายของเธอฝากผ่านแม่ผึ้งมาว่าให้ดูแลไม่ให้เธอคลุมหน้าระหว่างงานพิธี

 

ขนาดตัวไม่อยู่ยังจะฝากฝังคนอื่นไว้อีก ท่านพี่นะท่านพี่…

 

“แม่มลรบกวนเป็นประตูทองกับข้าหน่อยนะ”เพราะแม่โซ่ต้องเป็นคนอยู่กับเจ้าสาวก่อนถึงพิธีสงฆ์ แม่ผึ้งเองก็ถือประตูเงินคู่กับหญิงสาวผมสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งไปแล้ว แม่เกษมจึงต้องมาขอร้องเธอที่ยังไม่มีหน้าที่อะไร

“เอ๊ะ? คนอื่นไม่ได้หรือ?”

“ก็ข้าอยากให้เป็นแม่มลนี่นา แค่แปปเดียวเองนะ ๆ ๆ”อีกฝ่ายเขย่าแขนขอร้อง ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเธอเลยว่ารู้สึกลำบากใจแค่ไหน

“ขบวนขันหมากใกล้มาถึงแล้ว พวกเจ้าต้องออกไปเตรียมตัวแล้วล่ะ”แม่โซ่มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นขบวนขันหมากกำลังจะข้ามสะพานมาถึงเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณอยู่แล้วจึงร้องทัก

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”

“อ๊ะ!!”แขนเล็ก ๆ ถูกดึงพาไปรออยู่ที่หน้าประตูเรือนทั้งที่ยังไม่ได้ให้คำตอบอะไรออกไป

ขบวนขันหมากใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยมลภามืออยู่ไม่สุกไปจับผมตัวเองบ้าง จัดผ้าสไบบ้าง ที่เป็นแบบนี้เพราะเจ้าตัวกำลังตื่นเต้นอยู่ จนแม่เกษมถึงกับต้องออกปากห้ามปรามตามประสาครูสอนมารยาทที่เมื่อเห็นอะไรไม่สง่างามแล้วจะรู้สึกขัดใจไปเสียหมด

ในที่สุดขบวนขันหมากก็เดินทางมาถึงเรือนของเจ้าพระยาจตุวรุณ บิดาของหมออิทธิพัทธ์ก้าวออกมาข้างหน้ายื่นซองสีชมพูส่งให้สองสาวผู้ถือสร้อยประตูเงินก่อนที่พวกเธอจะกระพุ่มมือไหว้แล้วหลีกทางออกไป ถึงคราวของประตูทองอย่างยมลภาบ้างเพราะความตื่นเต้นเธอจึงเกือบทำซองเงินหล่นต่อหน้าแขกเหรื่อนับร้อยคน

เมื่อทั้งประตูเงินและประตูทองเปิดออกญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็เดินล่วงหน้าขึ้นเรือนไปก่อน เพียงเสี้ยววินาทีที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มองเห็นใบหน้ายามปราศจากผ้าคลุมของคุณหนูยมลภาเขาก็รู้สึกใจเต้นไม่เป็นระส่ำ เธอช่างงดงามเหลือเกิน… งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ งดงามจนไม่อยากจะให้ผู้ใดได้เห็นใบหน้าของเธอในยามนี้เลย

ระหว่างช่วงพิธีเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่ได้สนใจสินสอดทองหมั้นหรือน้องชายที่เป็นเจ้าบ่าวเลย สายตาของท่านเจ้าพระยาเอาแต่จ้องมองร่างบอบบางที่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนเจ้าสาวจนจิ้งจอกหนุ่มผู้เป็นน้องชายถึงกับต้องเอ่ยปากแซว

“สนใจพิธีการบ้างก็ได้นะท่านพี่”
“อะไร? ข้าก็สนใจอยู่นี่ไง”
“สนใจหรือ? ข้าเห็นท่านเอาแต่มองสาวสวยผมทองคนนั้น นางเป็นใครหรือท่านพี่?”
“อ๊ะ!! นั่นคุณหนูยมลภาของท่านไม่ใช่หรือ?”ได้ยินอัศวะทักขึ้นมาน้องชายตัวแสบถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านเพราะตะลึงในความสวยของผู้หญิงของพี่ชาย
“โห… เข้าใจเลือกเหมือนกันนี่ท่านพี่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงของท่านข้าคงเข้าไปคุยแล้ว”
“เงียบหน่อยสิขอรับ ผู้ใหญ่กำลังทำพิธีอยู่นะขอรับ”เด็กเล็กอย่างอุมานันท์ถึงกับออกปากเตือนจนผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่สามหน่อเงียบปากแทบไม่ทัน
ตลอดพิธีการเรื่องของคุณหนูยมลภายังคงเป็นที่ถกเถียงในวงพี่น้องของท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ต่อไป รู้สึกพลาดจริง ๆ ที่เชิญเธอมางาน ตอนนั้นเขาแค่อยากเห็นเธอในชุดออกงานสวย ๆ ไม่คลุมหน้าบ้าง ไม่ได้อยากจะรีบพามาเปิดตัวกับพี่น้องแบบนี้

 

 

 

ช่วงงานเลี้ยงตอนเย็นสามพี่น้องนครไพศาลถูกจัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวและเหล่าเพื่อนโปลิสของหรินะ ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนยมลภารู้สึกอึดอัด ไม่รวมคนที่เข้ามาทักเพราะอยากรู้จักเธออีก หากไม่รีบไปจากตรงนี้เธอต้องเป็นลมแน่ ๆ

“ข้าขอตัวไปสูดอากาศหน่อยนะ…”เธอลุกพรวดพราดออกไปแต่พี่ชายก็ไม่คิดจะรั้งเธอเอาไว้เพราะลึก ๆ ก็เข้าใจว่าเธอคงไม่ชอบและไม่ชินกับงานเลี้ยงแบบนี้อยู่เหมือนกัน

“น้องเจ้าไหวรึเปล่าน่ะหรินะ?”แม่ผึ้งถามด้วยความเป็นห่วง

“คงไม่ชินกับที่คนเยอะ ๆ น่ะครับ กลับมาคงจะดีขึ้นเอง”

“งั้นรึ?”ไม่มีใครถามถึงยมลภาอีกหลังจากนี้ ทุกคนพากันพูดคุยกันเหมือนทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างบางหลบเร้นจากงานเลี้ยงมานั่งเล่นที่ศาลาริมท่าน้ำ ที่นี่ดูจะเป็นที่ ๆ เหมาะกับเธอที่สุด ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กของผู้คน มีแต่เสียงจิ้งหรีดกับไฟสลัว ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งเล่นอยู่บ้านคนเดียว

ยิ่งคิดแบบนั้นความรู้สึกอยากกลับบ้านยิ่งทวีมากขึ้นไปอีก หญิงสาวได้แต่นั่งกอดตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกน่าอึดอัดเอาไว้ในใจ เธอน่าจะหนีกลับบ้านไปซะตั้งแต่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้หน้าเรือนเมื่อเช้า ไม่น่าเดินเข้ามาให้เจอคนรู้จักเลย ไม่ไหวแล้ว… อยากกลับบ้าน… ไม่อยากกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอีกแล้ว…

“ไม่ชินกับงานเลี้ยงงั้นหรือ?”ผ้าแพรผืนยาวถูกคลุมไว้เหนือศีรษะของเธอ พร้อมเสียงนุ่มนวลดุจกำมะหยี่ที่คุ้นเคย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนจิตใจดีคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน

“ท่านเจ้าพระยา…”ชายหนุ่มทรุดนั่งลงข้าง ๆ เธอโดยเว้นระยะห่างไว้ไม่ให้ใกล้ชิดจนเกินไป ทั้งความอ่อนโยนที่หาผ้ามาคลุมให้ ทั้งความสุภาพที่เว้นระยะห่างระหว่างกันทำเอาเธอแอบหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัวเลย

“ท่านออกจากงานเลี้ยงแบบนี้ คนจะไม่ตามหาท่านหรือ?”

“ก็ปล่อยให้พวกเขาตามหาไปสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่หยี่หระหากคนพวกนั้นจะขาดใจตายเพียงเพราะเขาไม่อยู่ในงาน

“เจ้าสวยมากเลยนะวันนี้”เสี้ยวบุหลันสีทองลอบมองดวงหน้าหวานใต้ผืนผ้าคลุมที่เขามอบให้ เธอหันหน้าหนีไม่ให้เขามองก่อนโวยวายเสียงเบา

“ย… อย่ามาชมว่าสวยนะ…”

“ทำไมล่ะ? ก็เจ้าสวยจริง ๆ นี่ ข้าพูดความจริงมันผิดด้วยหรือ?”ใบหน้ายามไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอางก็ ว่างามแล้ว วันนี้มีสีสันยิ่งดูงามแปลกตาจากเวลาปกติมากขึ้นไปอีก แต่เพราะงดงามขนาดนี้แหละถึงไม่อยากให้ใครได้เห็น

ใบหน้างดงามยังไม่หันกลับมาให้เขาได้เชยชม ชายหนุ่มนั่งเงียบซักพักรอให้เธอลืมก่อนจะแน่ใจแล้วจึงเริ่มชวนคุยไม่ให้ บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป

“ริมน้ำเนี่ย เงียบสงบจังเลยนะ”

“ข้านึกว่าท่านชอบบรรยากาศงานเลี้ยงมากกว่าเสียอีก”หญิงสาวยอมหันกลับมา พูดคุยพลางนึกถึงภาพผู้คนที่รายล้อมรอบตัวท่านเจ้าพระยาจนเธอรู้สึกอึดอัด แทน

“ทำไมถึงคิดว่าข้าชอบล่ะ?”

“ก็… ท่านเป็นที่สนใจของผู้คน มีแต่คนรายล้อม ใคร ๆ ต่างก็ต้องการจะเข้าหาท่าน…”วงแขนเพรียวโอบกอดผ้าคลุมที่ได้รับมาพร้อมความ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ว่าตัวเธอไม่อาจเข้าหาอีกฝ่ายได้บ้างดังที่ใจ ปรารถนา

“ฮะ ๆ ๆ เห็นแบบนี้ข้าก็ไม่ได้ชอบเวลาที่คนพวกนั้นมารุมล้อมหรอกนะ”ออกจะรำคาญมากกว่าด้วยซ้ำ

“แล้วท่านชอบเวลาไหนล่ะ?”

“นั่นสิ… คงเป็นเวลาที่อยู่กับเจ้าล่ะมั้ง”ดวงหน้างามผินมองอย่างไม่เชื่อทั้งใจยัง เต้นไม่เป็นระส่ำ เขากำลังแกล้งเธอหรือ? เขาตั้งใจจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเธออีกแล้วหรือ?

“คุณหนูยมลภา…”มือแกร่งวางทาบทับกับมือของหญิงสาวเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นและความรู้สึกจากใจที่ตนพยายามส่งไป

“ข้ารักเจ้านะ… ตลอดเวลาที่ผ่านมา…”

“ร… รักนี่… หมายถึงรักแบบ…”

“รักแบบคนรัก”เรียวปากคมเอ่ยวาจาออกมาชัดเจน น้ำเสียงนั้นจริงจังไม่มีความล้อเล่นอยู่เลยจนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วของคุณ หนูยมลภาเต้นแรงขึ้นไปอีก

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่… เมื่อไหร่ที่ข้าเริ่มอยากจะเจอหน้าเจ้าทุกวัน พอไม่ได้เจอใจข้าก็ถวิลหาแต่เจ้า และเมื่อยามได้เจอก็รู้สึกไม่อยากแยกจาก”ลูกแก้วคู่งามหลุบมองต่ำอย่างเขิน อาย ยิ่งฟังเลือดร้อนยิ่งสูบฉีดขึ้นทั่วใบหน้าทำให้พวงแก้มที่แดงเพราะเครื่อง สำอางอยู่แล้วแดงยิ่งขึ้นไปอีก

“ถ้าข้าจะขอให้เจ้ามาเป็นคนรักของข้าจะได้หรือไม่? เจ้าจะตอบรับคำขอของข้าได้หรือไม่คุณหนู?”

“ไม่…”เธอตอบพลางดึงมือกลับเข้าหาตัว

“ไม่ได้หรือ?”ท่านเจ้าพระยาหน้าเสียไปชั่วขณะกับคำตอบของเธอ แต่ยังคงถามซ้ำอย่างมีความหวังว่าเธอจะตกลง

“ข้าหมายถึง… ข้าไม่รู้…”ร่างบางนั่งก้มหน้าห่อไหล่ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้เรียกว่ารักได้รึเปล่า ถ้ายังไม่รู้ข้าก็ยังไม่อยากให้คำตอบท่าน”อย่างน้อยท่าทีและคำตอบของเธอก็ทำ ให้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจเขา และบางทีวันนี้เขาอาจรีบเร่งมากจนเกินไป ปล่อยให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างช้า ๆ น่าจะดีต่อทั้งเขาและเธอมากกว่า

“ยังไม่ต้องให้คำตอบก็ได้ แต่อย่างน้อยช่วยรับรู้หน่อยได้มั้ยว่าข้ารู้สึกจริงจังกับเจ้าจริง ๆ”ชายหนุ่มยอมเดินถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่ง

“ข้ารู้แล้ว…”

“งั้นข้าขอเปลี่ยนคำถามนะ ถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ข้าอยากจะมาหาเจ้าทุกวันเจ้าจะอนุญาตมั้ย? จะยอมให้ข้ามาหาโดยที่ไม่ต้องมีเรื่องผ้ามาเกี่ยวข้องได้รึเปล่า?”

“อยากมาก็ตามใจท่านสิ”คำตอบแบบปลายเปิดทำเอาคนฟังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ข้าถือว่าเจ้าตกลงนะ”

“ข้าขอเข้าใกล้เจ้าอีกหน่อยได้มั้ย? แบบนี้ข้ารู้สึกว่าเราอยู่ห่างกันเกินไป”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยขออย่างสุภาพ

“ก็ขยับเข้ามาเองสิ”

“แล้วข้าขอมองหน้าเจ้าได้มั้ย?”ความต้องการของคนมักมากยังไม่หมดลงง่าย ๆ

“อยากมองก็มองสิ”เธอตอบห้วน ๆ คล้ายรำคาญ

“งั้นก็เงยหน้าขึ้นสิคุณหนู”ปลายนิ้วเย็นเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นจนเห็น ดวงหน้าหวานแดงซ่านชัดแจ้งแก้สายตา ระยะห่างที่ลดลงทำให้หัวใจของหญิงสาวยังคงเต้นแรงไม่หยุด

“เด็กดี… ขอข้าจับมือได้มั้ย?”สรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอฟังแล้วยิ่งให้ความรู้สึกจั๊กจี้

“ก… ก็จับออกจะบ่อยไม่ใช่รึไง?”

“อย่าหลบตาสิ มองตาข้านะ”คนอายุมากกว่าเอ่ยปากแม้ไม่ใช่การบังคับแต่คุณหนูยมลภากลับรู้สึกว่าเธอขัดขืนไม่ได้

“แล้วถ้าขอกอดล่ะได้มั้ย?”

“ค… แค่นิดเดียวนะ… ”วงแขนแกร่งโอบรอบเอวคอดกิ่วกักขังเอาไว้ไม่ให้หนี

“ขอจูบหน่อยได้มั้ย? ที่หน้าผากน่ะ”

“อ… อืม…”คนไร้ประสบการณ์หลับตาตอบอย่างเขินอาย เรียวปากคมประทับจูบลงบนหน้าผากมนทั้งวงแขนที่โอบรอบเอวไว้ยังคงไม่ยอมคลาย

“ขอที่แก้มด้วยได้มั้ย?”

“อืม…”จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมหวานจากพวงแก้มนวลฟอดใหญ่ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากไปหยุดอยู่ที่ข้างใบหูนิ่มแดง

“แล้วที่ปากล่ะ?”เสียงนุ่มนวลกับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหูทำเอาร่างบอบ บางในอ้อมแขนอ่อนยวบรวบกับขี้ผึ้งลนไฟ เปลือกตาบางปรือลงอย่างเคลิบเคลิ้มก่อนตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“อื้ม…”

เรียวปากคมทาบทับกลีบปากบางนุ่มอย่างแผ่วเบา…

 

ทั้งนุ่มละมุนและอบอุ่นจนไม่อยากให้คลาย…

 

จูบแรกของทั้งคู่เนิ่นนานราวกับว่ากาลเวลาได้หยุดลง คุณหนูยมลภาไม่ได้ขัดขืนหรือผลักไสท่านเจ้าพระยาให้ออกไปแม้ว่าที่ตอบ อื้ม ไปจะไม่รู้ตัว ยอมรับว่าตกใจ แต่พอชายผู้อยู่เบื้องหน้าประทับจูบลงมาแล้วก็รู้สึกว่าขัดขืนไม่ได้ ซ้ำใจยังปราถนาอยากให้ช่วงเวลานี้ยาวนานจนเป็นนิรันดร์

แต่เวลาแห่งความสุขนั้นช่างแสนสั้น ทั้งคู่ค่อย ๆ ผละออกจากภวังค์พร้อมกัน หญิงสาวซุกใบหน้าแดงก่ำเข้ากับแผ่นออกกว้างของชายหนุ่มอย่างลืมตัว มือแกร่งลูบเรือนผมสีทองตรงหน้าด้วยความรักใคร่

“กลับเข้างานกันดีมั้ย? หายไปนานขนาดนี้พี่เจ้าคงตามหาเจ้าอยู่”

“ท่านก็ปล่อยข้าสิ…”วงแขนแกร่งของชายหนุ่มจำใจปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นอิสระ

“ไปกันเถอะ”สองร่างจูงมือกันทำท่าจะเดินเข้าไปในงาน แต่แล้วหญิงสาวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“อ๊ะ!! เดี่ยว!!”

“ทำไมหรือ?”

“ข้าจะเข้าไปก่อน ถ้าเข้าไปพร้อมกันพี่ข้าคงสงสัยแน่”เดิมทีทั้งหรินะและยมบุรชิตต่างก็สงสัย ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่แล้ว ถ้าเดินเข้าไปด้วยกันแถมจับมือกันแบบนี้เรื่องคงไม่จบแค่สอบถามพอเป็นพิธี แน่

“เอางั้นก็ได้”ท่านเจ้าพระยายอมปล่อยมือให้เธอเดินกลับเข้าไปในงานเพียงลำพัง

“พรุ่งข้าจะไปหานะ”ไปหาโดยไม่มีเรื่องผ้ามาเกี่ยวข้อง

“…อืม”

พระจันทร์เสี้ยวข้างขึ้นสะท้อนเป็นเงาสีเหลืองนวลบนผิวน้ำยามค่ำคืน รูปร่างเหมือนรอยยิ้มของใครบางคนแถวนี้ที่กำลังมีความสุขเสียจนหน้าบานอย่าง ปิดไม่มิด…

 

นี่แหละหนาความรัก…

 

“อ้าวน้องมล!! พี่กำลังตามหาอยู่พอดีเลย”พี่รองเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในงานท่าทางเหมือนจะไม่สบาย

“…”

“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านเรากันนะ”

“…”เธอเอาแต่นิ่งเงียบไม่มีแม้คำตอบสั้น ๆ ให้พี่ชาย

บนรถม้าบรรยากาศเงียบเหงาผิดกับขามา แม้พี่ใหญ่จะไม่ได้เมามากจนหลับไปแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทางยมลภาเองก็ยังนั่งเหม่อลอย สมองนึกโทษตัวเองที่ไม่คุมสติให้ดีปล่อยตัวปล่อยใจจนเสียผีให้เจ้าพระยาเจ้า เล่ห์คนนั้น แย่ที่สุดเลย… ทั้งเจ้าพระยาทั้งเธอนั่นแหละ แย่พอ ๆ กันเลย…

“น้องมล…”หรินะสะกิดเรียกเบา ๆ

“น้องมล!!”คราวนี้ตะโกนที่ข้างหู

“!!”

“เป็นอะไรรึเปล่าน้องมล? ตั้งแต่กลับจากไปสูดอากาศก็ดูเหม่อ ๆ ตลอดเลย”

“ข้า… แค่ไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ”

“หน้าก็แดงด้วย ไหวรึเปล่าน่ะ?”แสงไฟข้างทางสว่างจนเห็นใบหน้าน้องสาวแดงก่ำราวกับถูกพิษไข้ ยมบุรชิตได้ยินดังนั้นจึงเอามือมาแตะที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง

“หืม? ตัวร้อนด้วย ไม่สบายรึเปล่า?”

“หน้า… ที่… ที่หน้าแดงเพราะ… ข้าแต่งหน้าไง!! ล… ล…แล้วที่ตัวร้อนเพราะชุดนี่มันอึดอัด…”สองพี่ชายมองหน้ากันอย่างงง ๆ แล้วกลับไปมองหน้าน้องสาวพร้อมกันอีกครั้ง หรินะดูจะไม่เชื่อแต่ยมบุรชิตกลับไม่ได้คิดอะไร

“คงจะร้อนสินะ อดทนหน่อยนะเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”มือหนาของพี่ใหญ่ลูบหัวน้องสาวอีกครั้ง พี่รองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยออกมา

“หน้าดูแดงมากเลยนะ กลับบ้านไปกินยาดักไว้เลยก็ดีนะเผื่อไม่สบายขึ้นมาจริง ๆ”

“อ… อื้ม…”เธอเริ่มจะไม่ชอบคำว่า อื้ม ขึ้นมาแล้ว พอตอบแบบนี้แล้วก็พาลไปนึกถึงตอนที่เคลิ้มจนโดนขโมยจูบตลอด เรื่องนี้จะให้พี่ชายรู้ไม่ได้… จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนวันตายเลย!!

.

.

.

“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้อยู่ถึงตอนส่งตัวเข้าหอ”เพราะเดินทางมาจากเมืองไกลทำให้โสรษาต้อง เดินทางกลับก่อนไม่ได้อยู่ส่งเพื่อนเข้าหอจนวินาทีสุดท้าย แต่เจ้าสาวไม่คิดมากเธอสวมกอดเพื่อนรักก่อนยิ้มออกมา

“แค่แม่โซ่มาฉันก็ดีใจแล้ว”

“โชคดีนะแม่อ้อย ขอให้พระคุ้มครองทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ”คุณโซ่มองหน้าท้องของเพื่อนสนิทที่นูน ออกมาเล็กน้อยพลางระบายยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้างาม

“แม่โซ่ก็ด้วยนะ”เจ้าสาวยืนส่งเพื่อนของตนจนรถม้าเคลื่อนออกไปลับตา ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ แต่นาน ๆ เจอกันทีได้แค่นี้ก็ดีเท่าไร แถมงานนี้แม่โซ่ก็ดูมีความสุขดีอีกต่างหาก

 

พูดถึงมีความสุข เธอก็เจอคนที่มีความสุขเสียยิ่งกว่าเธอและแม่โซ่เสียแล้ว…

 

“แน่ะแม่อ้อย!! มองท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่วางตาเชียวนะ”สาวชาววังใช้พัดตีเข้ากับท่อน แขนเล็ก ๆ ของเจ้าสาวที่สายตาเอาแต่ให้ความสนใจกับพี่เขยอย่างออกนอกหน้า

“ระวังสามีจะหึงเอานะ”แม่ผึ้งกล่าวเตือนพลางชี้ไปทางหมออิทธิพัทธ์เจ้าบ่าวที่กำลังยืนส่งคนรู้จักอยู่

“ไม่ได้มองในเชิงอย่างว่าซักหน่อย”เวลาอยู่กับเพื่อนแม่อ้อยมักจะพูดจาหน้าไม่อายแบบนี้จนโดนครูเกษมตีเป็นประจำ

“ยัยเด็กแก่แดดนี่!!”ว่าแล้วคุณครูก็ประเคนฝ่ามือลงบนท่อนแขนเรียวดังเพี๊ยะ

ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เธอก็อดมองไม่ได้ ก่อนหน้านี้พี่เขยเธอเวลาคุยกับคนอื่นมักทำสีหน้าไร้อารมณ์เป็นประจำ นี่หลังกลับมาจากสูดอากาศข้างนอกก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอด หรืออากาศหลังบ้านท่านอาจะมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้อารมณ์ดีอยู่?

“แม่ผึ้ง แม่เกษม”

“หืม?”เจ้าของชื่อหันมาหาเจ้าสาวที่เป็นคนเรียก

“ปกติท่านเจ้าพระยาช่างเจรจาขนาดนั้นเลยหรือ?”เธอเอ่ยปากถามทั้งยังคงมอง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่วางตา คิดว่าถ้ามองนานกว่านี้แล้วเจ้าบ่าวมาเห็นต้องพาขึ้นห้องหอก่อนเวลาแน่

“เท่าที่เคยได้ยินมาก็ไม่นะ”คนเป็นครูตอบ

“ท่านคุยงานอยู่รึเปล่า?”แม่ผึ้งตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ข้าว่าไม่ใช่เรื่องงาน…”ไม่ใช่แน่ ๆ นั่งอ่านปากอยู่ตั้งนานท่านเจ้าพระยาไม่ได้คุยเรื่องงานหรอก…

“แล้วแม่มลของข้าล่ะ? ไปสูดอากาศแล้วไม่กลับมาเลย”สาวชาววังมองซ้ายมองขวาตามหาแม่ตุ๊กตาตัวโปรด ของเธอ ว่าจะคุยเรื่องชวนให้เข้าวังไปด้วยกันเสียหน่อย เอาแต่คุยกับแม่โซ่จนลืมเลย

“กลับไปพร้อมพี่ชายเขาแล้วย่ะ”ครั้งสุดท้ายเห็นบอกว่าจะไปสูดอากาศแล้วหายไปเลย

 

แม่มลงั้นรึ?

 

สองคนนั้นหายไปสูดอากาศข้างนอกแต่ว่าไม่ได้ไปด้วยกัน ตอนกลับมาก็ไม่ได้กลับมาด้วยกันอยู่ดีแต่ท่านเจ้าพระยากลับมาตอนที่แม่มล กลับบ้านพอดี ตอนที่ไปส่งแม่มลกลับบ้านเองแม่มลก็ดูแปลกไป มีผ้าอะไรก็ไม่รู้คลุมอยู่บนหัวแถมหน้าตาก็แดง ส่วนท่านเจ้าพระยาไม่ได้หน้าแดงหรอกแต่ว่าหน้าบานเป็นจานข้าวเชียวแหละ…

เห…

TBC.

**************************************

Free Talk :

ในที่สุด!!

ความสัมพันธ์ก็!!

พัฒนาแล้วค่าาาาาาาาาาาาา!! //จุดพลุ

แต่ขั้นนี้ยังเรียกว่าเป็นคนรักไม่ได้นะคะ(อ้าว) เรียกให้ถูกคือจีบอย่างเป็นทางการค่ะ ฮาาาาาาา

ไม่คิดเลยว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องเขียนยาวขนาดนี้ เหนื่อยมาก ๆ เลยค่ะ แต่อ่านไปก็มีความสุขเหมือนกันที่ความสัมพันธ์คู่นี้พัฒนาขึ้นมาได้ขนาดนี้ มองดูคู่นี้จีบกันไปมาก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ

ตอนหน้ามาดูการจีบอย่างเป็นทางการของท่านเจ้าพระยากันค่ะว่าจะเป็นยังไง แล้วแม่มลจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองเมื่อไหร่ ยังไงก็ฝากทุกท่านติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ปีหน้าค่ะ สวัสดีปีใหม่ค่ะๅูู

3 thoughts on “[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 13

  1. ตอนนี้อ่านเเล้วเขินตัวเเตกตายมากค่ะ ตอนขอจับมือ ขอหอมเเก้ม ขอจูบ โอ๊ยยยยยยยยยยยย ตายๆ ///
    เเม่มลตอนว่าง่ายๆนี่ดาเมจรุนเเรงมากเลยค่ะ //////
    ชอบการที่พระยาเสี้ยวจันทร์ไม่รุกไปด้วยค่ะ ทั้งๆที่มีโอกาสเเท้ๆเเต่ก็ไม่ยอมฉวย(?)เข้าหาเธอดีๆ ดีต่อใจมากเลยค่ะ //
    ชอบตอนที่น้องๆพระยาเสี้ยวจันทร์เเซวเรื่องเเม่มลตอนพิธีด้วยค่ะ ตลก อุมานันท์มีความเเซะ เกลียดด 555555
    เเล้วก็ชอบเเก๊งเเม่บ้าน(?)ด้วยค่ะ ชอบเวลาพวกนางคุยกัน ดูเป็นคุณเเม่บ้านช่วงซุบซิบจริงๆนะ โอ๊ยย ที่ดี นี่ถ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นสงสัยล้อเเม่มลจนเเม่มลเอาผ้าห่มตัวเองเป็นดักเเด้เดินไปไหนมาไหนเเน่เลยอะ 5555
    เเต่ที่เเน่ๆคือดีใจค่ะ ในที่สุดก็จีบกันจริงๆจังๆเเล้ว ความสัมพันธ์คืบหน้าเเล้ววว ขอให้เเม่มลรับรักไวๆนะ //

    Liked by 1 person

  2. กรี๊สสสสสสสส สมาคมแม่บ้านประจำฮงมีบทกันหมดแล้วสินะคะเนี่ย แม่เกษม น่ารักค่ะ ฮือ จับแม่มลมาเล่นเป็นตุ๊กตาเลยเชียว ตอนนี้พระยาเสี้ยวจันทร์ได้กำไรเยอะนะคะเนี่ย แหม หลังจากนี้คงไปกวนที่บ้านแม่มลซะทุกวันที่ไปได้ล่ะมั้งเนี่ย สาวผมฟ้าอ่อนนั่นจะหวังว่าเป็นคุณหนึ่งได้มั้ยนะ ฮา

    Liked by 1 person

ใส่ความเห็น