[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 4

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Story   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning 

                       ฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ต ภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ ที่คุณโค่อธิบายเอาไว้ใต้ภาพมาขยาย+ผสมกาวเจ้มจ้นจนเป็นเรื่องราวขำ ๆ สโลว์ไลฟ์อย่างที่เห็น…

                       แต่!!ขอ ให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลของคุณโค่ เพราะเราเพียงแค่นำเรื่องย่อของคุณโค่มาเป็นเส้นเรื่องหลักเท่านั้น และที่สำคัญหลุดคาร์แน่นอน โปรดใช้จักรยานในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

 

**************************************

 

บทที่ 4 ชิดใกล้

“โห่~ ฮี้โห่ ๆ ๆ ๆ ๆ~~~”

“ฮิ้วววววววววววว~~~”

เสียงโห่สามลาดังลั่นเรือนทันทีที่พี่ใหญ่ของบ้านอย่างเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก้าวออกมาจากห้องนอนส่วนตัว พี่น้องร่วมบิดาทั้งสามนั่งรออยู่ด้วยกันเกือบพร้อมหน้าขาดแค่เพียงคุณหมออิทธิพัทธ์คนเดียวเท่านั้น ผู้มาใหม่เลิกคิ้วมองพี่น้องที่พากันจ้องมาที่เขาอย่างฉงนก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งข้างน้องชายคนรอง

“เล่นอะไรของพวกเจ้าน่ะ? อิทธิพัทธ์น่าจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่แล้วมิใช่หรือ?”พี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยถามพลางยกชาขึ้นมาจิบตามประสาคนอายุมาก

“ก็ใครว่าพวกข้าโห่ให้อิทธิพัทธ์เล่า”หนุ่มผมยาวเท้าคางตอบพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เรากำลังโห่ให้ว่าที่เจ้าบ่าวคนต่อไปอยู่”น้องชายคนเล็กตอบเสียงดังฟังชัดเรียกเสียงโห่ฮาออกมาจากพี่ชายทั้งสองคนอีกครั้ง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ได้ฟังก็ได้แต่แอบอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ให้เหล่าน้องชายตัวดีทั้งหลายเห็น

“เจ้าเล่าให้พวกเขาฟังหรืออัศวะ?”ใบหน้าคมสันหันไปหาน้องชายร่างยักษ์คนเดียวกับที่ไปรับไปส่งเขาที่เรือนนครไพศาลเมื่อคืนวาน คนถูกพาดพิงไม่ได้เหงื่อตกหรือวิตกกังวลที่ถูกจับได้แต่อย่างใดแต่กลับทำตัวสบาย ๆ ป้อนข้าวน้องชายคนเล็กได้ตามปกติ

“ก็ท่านไม่ได้บอกให้ข้าเก็บเป็นความลับนี่”เจ้าตัวตอบเสียงดัง ก็จริงอย่างที่บอกเพราะเมื่อวานเขาก็ไม่ได้สั่งให้อัศวะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแต่อย่างใดเพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ขอแค่อย่าให้ถึงหูบิดามารดาก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

“ยังไงกันๆ เหตุใดท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้สูงงงงงงงงส่งเสียจนไม่ชายตาแลหญิงใดในพระนครจึงไปตกหลุมรักหญิงธรรมดาไร้ยศศักดิ์ได้เล่า?”จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ เนตรสีแดงฉานเหลือบไปมองพี่ชายร่วมบิดาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“คุณหนูยมลภาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางเป็นคนพิเศษ ที่สำคัญข้าไม่เคยรักใครด้วยยศศักดิ์”

“โอ้โห… เช่นนั้นท่านพี่ของข้าช่วยบอกความพิเศษของนางให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”

“ข้าเคยได้ยินมานะว่านางสวย”ชายผู้มีเรือนผมสีดวงตะวันเอ่ยสนับสนุนระหว่างที่รอพี่คนโตดื่มชาจนหมด

“ใบหน้านางงดงามราวกับนางในวรรณคดีเลยรึเปล่า?”น้องเล็กเอ่ยถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ไม่หรอก แต่นางงดงามยิ่งกว่านั้น”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ตอบพลางนึกถึงใบหน้างามที่มักถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าคลุมหน้าผืนเก่าราวกับไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชม แต่ชายหนุ่มกลับไม่มองว่าผ้าคลุมหน้าผืนนั้นเป็นข้อเสียหรือจุดด้อยของเธอแต่อย่างใด ดีเสียอีกจะได้ไม่มีใครได้เห็นใบหน้านั้นนอกจากเขา

“รักบังตาสินะ…”คนช่างเย้าได้ฟังถึงกับลูบเคราอากาศจินตนาการถึงความงามของหญิงสาวที่ตนรู้จักแค่เพียงชื่อแต่ได้ยินกิติศักดิ์จากปากพี่ชายมาว่างามหนักหนา จะมีจริง ๆ หรือหญิงชาวบ้านที่งามกว่าสตรีชั้นสูงในรั้วในวัง?

“ถ้าเจ้าได้พบนางเจ้าจะไม่กล้าพูดแบบนั้น”ชาหอมกรุ่นถูกรินเติมจนเต็มอีกครั้งก่อนที่บุรุษผมสีราตรีจะยกแก้วขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วค่อย ๆ จิบมันทีละนิด

“งั้นก็แสดงว่าท่านหลงรูปลักษณ์ภายนอกของนางงั้นหรือ?”

“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่เชิงหรอก”แก้วชาถูกวางลงจนเกิดเสียงกระทบกับจานรองดังกริ๊ง ของเหลวสีเขียวใสกระเพื่อมไปมาช้า ๆ โดยมีก้านชาแท่งเล็กตั้งตรงอยู่บริเวณกลางแก้ว สามพี่น้องหันไปมองชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะโดยพร้อมเพรียงพลางลุ้นกับคำตอบของพี่ใหญ่ราวกับลุ้นไก่ชนก็ไม่ปาน

“ตัวข้าอายุอานามก็มากโขแล้ว ความรักก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี คงเพราะเหตุนี้กระมังข้าจึงไม่ลังเลต่อความรู้สึกแม้จะได้พบนางเพียงครั้งแรกก็ตาม”คำตอบของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ฟังเผิน ๆ อาจดูเป็นคำตอบธรรมดา แต่กับพี่น้องทั้งสามที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาหลายขวบปีนั้นคำพูดสั้น ๆ นี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความหมายแฝงมากมายอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากปากบุรุษยศสูงผู้นี้มาก่อน

เพราะความเป็นลูกเจ้าลูกกระหม่อมอีกทั้งยังเป็นพี่ชายคนโตผู้สืบตระกูล ตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จึงได้พบหญิงสาวชนชั้นสูงมามากหน้าหลายตา ความจริงข้อนี้พี่น้องทุกคนต่างก็ทราบดี แต่ช่างปักผ้าสาวสามัญชนผู้นี้กลับทำให้ชายสูงศักดิ์ผู้เคยหน่ายต่อความรักกลับมาชุ่มชื่นราวกับมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดใจเสียจนอยากจะเขียนเป็นจดหมายเหตุไว้ให้คนรุ่นหลังอ่านยิ่งนัก

“แสดงว่าท่านตกหลุมรักนางไปแล้ว?”

“ในตอนนี้จะเรียกแบบนั้นคงยังไม่ได้ แต่อย่างน้อยขาข้าก็ลงไปข้างนึงแล้วล่ะ ฮะ ๆ ๆ”ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีทำเอาคนถามถึงกับกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ

“บอกข้าสิว่าท่านล้อข้าเล่น?”

“ข้ามิใช่หนุ่มเจ้าสำราญ ไม่กล้าเอาเรื่องความรักมาล้อเล่นหรอก”คำตอบนั้นทำเอาน้องชายคนรองถึงกับสะอึกราวกับถูกแทงใจดำเสียจนไม่กล้าที่จะเอ่ยถามอะไรต่อ

“เห็นท่านเป็นแบบนี้แล้วข้าหงุดหงิดชะมัด!!”อันที่จริงเขาไม่ได้หงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายกำลังมีความรักที่จริงจังอยู่หรอก แต่หงุดหงิดเพราะถูกตอกกลับด้วยเรื่องในอดีตที่ต้องการจะลืมมากกว่า แม้จะเป็นการตอบกลับแบบอ้อม ๆ แต่สายตาเย้ยหยันที่ผู้เป็นพี่ส่งมาให้ในขณะที่พูดนั้นมันชัดเสียยิ่งกว่าอะไร

“แล้วท่านจะใช้วิธีไหนพิชิตใจนาง? คงไม่ได้หวังแค่รอเวลาหรอกใช่มั้ย?”อัศวะถามต่อไม่รอให้คนที่กำลังหงุดหงิดได้เข้าแทรก

“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ถ้าในตอนนี้แค่ข้าไปดูหน้านางทุกวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

“ท่านจะบ้าเรอะ!? ขืนทำตัวเอื่อยเฉื่อยแบบนั้นกว่านางจะรับรักท่าน ๆ คงไปนอนในโลงแล้ว”คนอารมณ์ร้อนโพลงขึ้นมาเสียงดังจนแทบจะได้ยินไปถึงหน้าเรือนจนพี่เลี้ยงเด็กต้องเอามือปิดหูน้องเล็กสุดที่ตกใจจนสะดุ้งโหยงขึ้นมา

“หรือเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้?”จิ้งจอกหนุ่มได้ฟังก็หยัดกายลุกขึ้น ขายาวก้าวฉับเข้าไปยังห้องส่วนตัวของตนก่อนรื้อค้นบางสิ่งจนเกิดเสียงดังโครมครามได้ยินไปถึงภายนอก ในไม่ช้าเขาก็เดินออกมาพร้อมหนังสือเก่า ๆ เล่มหนึ่งที่ถูกอะไรต่อมิอะไรทับจนเสียรูปทรง

“เอานี่ไปสิ”มือแกร่งยื่นหนังสือไปอยู่ตรงหน้าพี่ชายของตน

“นี่มันตำราเกี้ยวหญิงนี่… อย่าบอกนะว่าเจ้าเขียนเอง?”คนมีความรักเปิดไล่เนื้อหาดูทีละหน้าก่อนหันไปถามคนที่นำมันมาให้เขา

“ของมันแน่อยู่แล้ว”อดีตหนุ่มเจ้าสำราญตอบด้วยความภาคภูมิใจ อันที่จริงจะเรียกว่าหนังสือก็คงไม่ได้เพราะเขาเขียนมันด้วยลายมือเขาเองทั้งหมด ถ้าเรียกให้ถูกคงเป็นสมุดบันทึกเสียมากกว่า

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อ่านเนื้อหาในสมุดบันทึกคร่าว ๆ ทีละหน้า แม้ลายมือจะไม่ได้บรรจงมากแต่ก็ไม่ได้อ่านยากแต่อย่างใด เนื้อหาในสมุดเต็มไปด้วยมุกจีบหญิง บทฉ่อย รวมไปถึงเพลงที่เอาไว้ร้องเล่นตามงานเทศกาลต่าง ๆ ที่น่าตกใจที่สุดคงจะเป็นกลอนกาพย์ทั้งหลายที่พ่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ช่างไปสรรหามาจากไหนเยอะแยะก็ไม่รู้ ทั้งที่ดูไม่น่าเป็นคนชื่นชอบอะไรแบบนี้เลยแท้ ๆ

ที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อเขาบ้างก็มีแค่บันทึกสั้น ๆ เขียนบรรยายว่าผู้หญิงชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน แต่ตรงนี้จะใช้กับคุณหนูยมลภาได้รึเปล่าก็อีกเรื่อง…

“…ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ข้าว่าไม่ดีกว่า”อ่านไปไม่ถึงครึ่งเล่มพี่ใหญ่ก็ต้องปิดสมุดแล้วส่งมันคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงของมัน

“ทำไมล่ะ? วิธีพวกนี้ข้าเคยใช้สมัยหนุ่ม ๆ แล้วได้ผลนะ”คนมากประสบการณ์โวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความหวังดีและคำแนะนำของตนทั้งที่ครั้งนี้เห็นว่าจริงจังกับความรักจึงอยากจะช่วยบ้างแท้ ๆ

“แต่ข้ามันแก่แล้วน่ะสิ อีกอย่างข้าคิดว่าคุณหนูยมลภาคงไม่ใจอ่อนให้ข้าเพราะมุกน้ำเน่าของเจ้าแน่ ๆ”

“สมกับเป็นท่านพี่ พูดจาโหดร้ายกับน้องชายตัวเองได้หน้าตาเฉย”จิ้งจอกในตอนนี้เริ่มกลายร่างเป็นหมาหงอยเพียงเพราะถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ ซ้ำน้องชายอีกสองคนเองก็ทำท่าจะไม่สนใจเขาซักเท่าไหร่นัก ทำไมพี่น้องถึงไม่มีใครรักเขาเลยนะ!?

“ข้าอาจไม่อยู่ในสถานะที่จะแนะนำท่านได้ แต่ข้าว่าท่านลองหาของติดไม้ติดมือไปฝากนางบ้างก็ดี”ชายร่างยักษ์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากให้คำแนะนำบ้าง แต่เขาไม่เคยมีความรักจริงจังอย่างพี่น้องคนอื่นจึงได้แต่คิดว่านี่คงเป็นคำแนะนำพื้น ๆ ที่อาจช่วยไม่ได้เท่าไหร่นัก

“นางจะมองว่าข้าซื้อใจนางด้วยเงินน่ะสิ รอให้ข้าทลายกำแพงในใจนางได้ก่อนค่อยหาอะไรไปฝากก็ยังไม่สาย”แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับวิธีนี้ในทันทีแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแบบหักหาญน้ำใจ แถมฟังจากคำตอบดูท่าว่าคำแนะนำของเขาจะมีประโยชน์ในระยะยาวเสียด้วย

“บางทีข้าควรรีบไปทำงานก่อนที่พวกเจ้าจะสรรหาวิธีประหลาดมาให้ข้าปวดหัวอีก เจ้าเองก็อย่าไปทำงานสายล่ะ”มือหนาค้ำพื้นเรือนเอาไว้ก่อนค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำงานทั้งที่มื้อเช้ายังไม่ได้ทานอะไรได้ดื่มแต่ชาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ฝ่ามือตบเข้ากับบ่ากว้างของน้องชายคนรองที่ทำท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่มีแววว่าจะรีบไปทำงาน อัศวะหยิบไม้เท้าฝังทองคำเปลวส่งให้พี่ชายเมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายจะลืมมันทิ้งไว้

“ชิ… รู้แล้วล่ะน่า…”คนหนุ่มเดาะลิ้นตอบอย่างไม่พอใจ ทั้งสามมองส่งพี่ชายจนก้าวพ้นประตูเรือนไปแล้วจึงรับประทานอาหารเช้าต่อกันได้เสียที

“ท่านพี่ดูเอาจริงมากเลยนะ”จิ้งจอกหนุ่มกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งพลางเปิดประเด็นเรื่องพี่ชายกับรักครั้งใหม่

“คุณหนูยมลภาคนนั้นคงตั้งกำแพงไว้สูงพอสมควร ท่านพี่เลยต้องเอาจริงแบบนี้”คนที่ไม่เคยมีความรักเอ่ยตอบมือยังคงตักข้าวเข้าปากน้องชายคำใหญ่

“แต่เจ้าไม่คิดเหรอความรักที่ได้มาด้วยความยากลำบากน่ะ มันควรค่าแก่การรักษาขนาดไหน”สายตาเจ้าเล่ห์เหล่มองสมุดบันทึกของตนที่ถูกส่งคืนกลับมาพลางนึกถึงอดีตสมัยยังทำตัวเหลวแหลกเห็นความรักเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น บุรุษผมสั้นเกรียนได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจนึกถึงอุปสรรคต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้าที่พี่ชายของเขาและคุณหนูแห่งบ้านนครไพศาลต้องเผชิญ

“ขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ควรค่าแก่การรักษาทั้งนั้นแหละ…”

เมื่อเสร็จจากงานราชการอันแสนน่าเบื่อ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็รีบจ้างรถม้าตรงมายังเรือนนครไพศาลทันที และเพราะนี่เป็นเวลาเกือบเย็นย่ำแล้วเหล่าแม่ค้าจึงพากันเริ่มออกมาตั้งแผงขายของข้างทางกันให้เห็นเป็นสีสันต์ยามเย็นกันบ้างประปราย

รถม้าแล่นผ่านท่าเรือทำให้เห็นชนชั้นใช้แรงงานนับสิบชีวิตกำลังขนสินค้าและผ้าจากเมืองฝรั่งลงจากเรือทำให้ชายหนุ่มอดนึกถึงคำแนะนำของน้องชายว่าให้หาซื้อของไปฝากคุณหนูเสียบ้าง แม้ใจจะอยากบอกรถม้าให้หยุดเพื่อตนจะได้ลงไปหาซื้อของฝากแต่จิตสำนึกลึก ๆ กลับบอกว่ายังเร็วเกินไปที่เธอจะยอมรับสิ่งของใด ๆ จากเขาแม้จะเป็นของที่เธอชอบมากก็ตาม

ไม่นานนักรถม้าหยุดนิ่งหน้าเรือนนครไพศาล หนุ่มยศเจ้าพระยาก้าวลงจากเบาะนั่งยื่นถุงใส่เงินให้สารถีอายุคราวปู่โดยที่ยังไม่ได้ถามราคา เมื่อชายชราเปิดถุงผ้าออกดูก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างกับจำนวนเงินที่ได้รับมาจนอยากจะลงไปกราบชายผู้ว่าจ้างเสียเดี๋ยวนั้น

เมื่อก้าวขึ้นไปบนเรือนนครไพศาลภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือหญิงสาวร่างเล็กบางกำลังนั่งปักผ้าอย่างตั้งใจและเพราะเธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับผ้าจึงยังไม่รับรู้การมาของชายหนุ่ม เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ได้แต่ยืนมองเธอจากที่ไกล ๆ ซึมซับความงดงามของภาพที่เห็นตรงหน้าให้นานที่สุดก่อนที่เธอจะรู้ตัวแล้วชักสีหน้าบูดบึ้งใส่เขา จนเมื่อรู้สึกอิ่มเอมเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อย ๆ เข้าไปทักทายใกล้ ๆ

“วันนี้ไม่อยู่ในห้องเหรอคุณหนู?”ใบหน้างามหันควับมาหาผู้มาเยือน จะอย่างไรเธอก็ไม่ชินกับการมาอย่างทีเผลอของบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย ถ้าวันใดเธอเกิดหัวใจวายขึ้นมาก็อย่าได้สงสัยเลยว่าเป็นเพราะใคร

“ก… ก็ท่านบอกจะมาดูผ้าไม่ใช่รึไง?”เธอพูดตะกุกตะกักหันกลับไปให้ความสนใจกับสไบเจ้าสาว แค่ฟังจากน้ำเสียงตอบกลับชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าสาวเจ้ากำลังซ่อนสีหน้าแดงก่ำไว้ใต้ผ้าคลุมหน้าอย่างเคย อยากเดินอ้อมไปมองใบหน้านั้นให้ชัด ๆ ซักครา แต่ก็ไม่อยากแกล้งให้อีกฝ่ายโมโหจนเกินไป

“นั่นสินะ… แขกมาทั้งทีจะให้หมกตัวอยู่แต่ในห้องมันก็เสียมารยาทสินะ”

“…”

“ทำได้ถึงไหนแล้วล่ะ?”เพราะยังเขินอายและอยากจดจ่อกับสิ่งที่ทำคุณหนูยมลภาเลยไม่ได้ชวนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์พูดคุยอะไรต่อ นั่นจึงเป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่ต้องหาเรื่องคุยกับเธอบ้างเพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป และแน่นอนว่าเพื่อให้เธอเริ่มเปิดใจกับเขาด้วย

“ข้าปักเพชรไปได้เกือบครึ่งแล้วถ้าทำตรงนี้เสร็จก็เหลือแค่เก็บรายละเอียดเท่านั้น”ช่างปักผ้าสาวกลัดเข็มไว้ริมชายผ้าก่อนยื่นผลงานของเธอให้(พี่ชายของ)ผู้ว่าจ้างดู อีกฝ่ายรับมันมาพิศดูรายละเอียดอันประณีตบรรจงดั่งผลงานของช่างฝีมือในวังหลวง

เกสรดอกพิกุลปักด้วยไพลินและมรกตสลับกัน ตัวกลีบเป็นดิ้นทองต่างขนาดปักเรียงกันเรียบร้อยสวยงาม เรียกได้ว่าเก็บงานเนี้ยบไปทุกกระเบียดนิ้วเสียจนไม่มีอะไรต้องติเลยด้วยซ้ำ

“ใช้เวลาอีกกี่วันรึ?”

“อย่างเร็วสุดประมาณ3วัน ช้าสุดข้าให้4วัน”

“…”

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็ไม่ใช่คนช่างคุยอะไรอยู่แล้ว ออกจะเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงเสียด้วยซ้ำ แต่ที่บางครั้งต้องทำตัวราวกับเป็นคนเข้าหาง่ายมนุษยสัมพันธ์ดีก็เป็นเพราะเรื่องงานที่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น พอต้องถอดหน้ากากแล้วมาเป็นฝ่ายชวนคุยมันจึงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย

หากยังคิดไม่ออกว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรไรก็มีแต่ต้องใช้การกระทำเป็นตัวสื่อเท่านั้น นึกได้ดังนั้นจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กำลังนั่งหันหลังปักผ้าให้เขาอยู่ก่อนค่อย ๆ ชะโงกหน้าทำเป็นเนียนดูลายปักผ้า

“ห่างกว่านี้ก็ได้มั้งท่าน…”หญิงสาวเริ่มออกปากไล่หลังจากที่ถูกชายหนุ่มเอาตัวมาเบียดจนชิดติดกันทำให้ปักผ้าไม่สะดวก

“ก็ข้าอยากดูผ้าใกล้ ๆ นี่นา”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงระรื่นเมื่อแผนของตนได้ผล คุณหนูยมลภานั่งเหงื่อตกไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เพราะเกร็งที่ต้องมาใกล้ชิดกันผู้ชายสองต่อสองบนเรือนกว้างแต่หากเขาอ้างว่างอยากดูผ้าเธอกล้าเอ่ยปากไล่อีกครั้งได้อย่างไรกันเล่า?

ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นระส่ำส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ ร่างบางอยากจะเป็นฝ่ายลุกหนีเสียเองแต่ติดที่ว่ามันดูเสียมารยาทและขาทั้งสองของเธอก็เริ่มเกิดอาการเหน็บชาจากการนั่งท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานานบ้างแล้ว ลองขอร้องให้อีกฝ่ายออกห่างจากตัวเองแบบอ้อม ๆ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

“ท่านเจ้าพระยา ข้าอึดอัด…”มือเรียวหยุดปักผ้าก้มหน้าบ่นให้อีกฝ่ายได้ยิน หวังว่าเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อนะ

“งั้นไปปักต่อที่เรือนข้าดีหรือไม่? เรือนข้ากว้างขวางนักนะ”ผิดคาด… นอกจากเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จะไม่ยอมถอยออกห่างจากเธอแล้วยังมีหน้ามาชวนเธอไปที่เรือนเขาอีก บัดสีบัดเถลิง… หน้าไม่อายที่สุด…

จริงอยู่ว่าที่พูดไปนั้นชายหนุ่มเพียงต้องการแค่จะแหย่เธอเล่นเท่านั้น แต่ในใจนึกแอบหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ยากว่าเธอจะตอบตกลงแล้วยอมไปเรือนใหญ่กับเขา ไม่ผิดหรอก… มันก็แค่สิ่งที่เป็นไปได้ยาก ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวเสียหน่อย

“…”

คำตอบของคนอายุมากกว่าทำเอาหญิงสาวถึงกับไปต่อไม่ถูก เธอเลือกที่จะเงียบใส่เขาแล้วปักผ้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งที่เป็นคนชอบบรรยากาศเงียบสงบแท้ ๆ แต่คนยศสูงกลับรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลยที่เรือนนครไพศาลในยามนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน เขารู้ว่าคุณหนู’ของเขา’นั้นชอบเก็บตัวเงียบไม่คุยกับผู้คน แต่ก็ไม่คิดว่าจะใจร้ายปล่อยให้เขาต้องเงียบเหงาเรียกร้องความสนใจอยู่คนเดียวแบบนี้ ปกติเวลาชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองเขาคุยอะไรกันบ้างนะ? รู้งี้น่าจะเอาตำราเกี้ยวหญิงเล่มนั้นติดมือออกมาด้วย กลับบ้านไปคงต้องขอโทษน้องชายคนรองเป็นการใหญ่เสียแล้ว

“วัน ๆ คุณหนูได้แต่ปักผ้าอย่างเดียวเลยหรือ?”นี่เป็นคำถามพื้น ๆ ข้อเดียวที่เขาพอจะคิดได้

“ก็ประมาณนั้น…”เธอตอบสั้น ๆ

“แล้วไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือ?”

“ถ้าเบื่อจริง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปร้อยมาลัยไม่ก็จัดดอกไม้ แต่ข้าไม่ใช่คนขี้เบื่อขนาดนั้นหรอก”เธอตอบเขาทุกคำถามแต่กลับไม่มองหน้าเขาเลย คนอายุมากเริ่มออกอาการน้อยใจเป็นเด็ก ๆ แต่จะให้เธอเห็นไม่ได้ว่าเขากำลังทำตัวน่าอายเช่นนี้อยู่ คงมีแต่จะต้องถอยกลับไปตั้งหลักคิดแผนกระชับความสัมพันธ์ใหม่เท่านั้น

สายลมในเวลาเย็นย่ำกับบรรยากาศเงียบเชียบทำเอาคุณหนูยมลภารู้สึกง่วงงุนขึ้นมาบ้างแล้ว เสียงข้าทาสในครัวทำอาหารกับดังโฉ่งฉ่างเป็นตัวปลุกในเธอสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มันเงียบเหงาเกินไปราวกับว่าตอนนี้เธออยู่นเดียวบนเรือน

เธอหันไปมองรอบกายเห็นเพียงเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์กำลังนั่งเงียบทำหน้าบูดบึ้งราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ หรือเขาจะโกรธที่เธอทำตัวเงียบใส่เขา? ต้องเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ แถมเธอยังไปนั่งหันหลังใส่เขาอีกลืมไปเลยว่ามันเสียมารยาท อยากจะขอโทษแต่ปากก็หนักเหลือเกินจนไม่กล้าเอ่ยออกไป แต่ถ้าแค่ชวนคุยเป็นการไถ่โทษเธอคงพอทำได้กระมัง

“นี่ก็เย็นแล้ว ท่านยังไม่กลับบ้านอีกหรือ?”มือเรียวแอบตีปากไว ๆ ของตนเองไปทีนึงที่ไปเอ่ยปากไล่ชายหนุ่มแบบนั้นทั้งที่ตั้งใจว่าจะชวนคุยแท้ ๆ ดำอีกฝ่ายที่กำลังนั่งคิดแผนกระชับความสัมพันธ์ใหม่ถึงกับตกใจที่จู่ ๆ คุณหนูผู้แสนขี้อายก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อนโดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แม้ประโยคดังกล่าวจะฟังดูเหมือนต้องการจะไล่เขาก็ตาม

“ข้ากลัวเจ้าเหงานี่นา อีกอย่างข้าไม่มีพันธะอะไรจะอยู่ถึงกี่ยามก็ย่อมได้”ถ้าให้แปลตรง ๆ ใจความที่แท้จริงที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ต้องการจะสื่อคือ ’ข้ายังไม่มีภรรยาและข้าจะอยู่จนกว่าจะได้เจ้าเป็นภรรยา’ และเพราะมันดูจะรุกล้ำสาวเจ้ามากจนเกินไปนี่แหละถึงได้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

“…”

บรรยากาศเงียบงันชวนเหงาใจวนกลับมาอีกครั้ง คนเจ้าเล่ห์แอบคิดไปว่าหญิงสาวคงเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึงได้นิ่งเงียบไม่มีการตอบรับอะไรเลยแบบนี้ เห็นทีวันนี้คงต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่จริง ๆ แค่มาดูหน้านางอย่างเดียวคงไม่ทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นอย่างที่น้องชายตัวดีของเขาบอกจริง ๆ

ในขณะที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์กำลังถอดใจและกำลังจะลาคุณหนูกลับบ้านของตน จู่ ๆ กลีบปากบางคู่นั้นก็เอื้อนเอ่ยวาจาออกมาสร้างความประหลาดใจให้คนฟังอีกครั้ง

“ก่อนจะมาหัดปักผ้าข้าเคยลองฝึกทำอาหารอยู่เหมือนกัน”ไม้ตะพดฝังทองคำเปลวถูกวางไว้ที่เดิม ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะบอกลาเธอออกจากหัวแล้วเปลี่ยนกลับมานั่งฟังเรื่องของเธออย่างตั้งใจ

“แต่ว่าตอนนั้นหัดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดอุบัติเหตุ ไฟจากเตาถ่านไหม้ชายผ้าคลุมข้า จนแม่นมต้องสั่งห้ามข้าเข้าครัวเลยล่ะ…”

“จะเล่าเรื่องให้ข้าฟังทั้งทีก็หันมาหาข้าซักนิดสิคุณหนู”คนเอาแต่ใจทักท้วง อีกฝ่ายรู้ดีว่าการหันหลังให้คู่สนทนานั้นมันเสียมารยาท แต่เธอก็อายเสียจนไม่กล้ามองหน้าเขาจริง ๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรเธอก็ตามที

ถึงจะรู้สึกเขินอายเพียงใดแต่สุดท้ายคุณหนูยมลภาก็ยอมหันหน้ามาหาเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อย่างที่เขาร้องขอแม้จะหันมาเพียงครึ่งเดียว เธอลอบหันไปมองเขาทั้งยังนั่งห่อไหล่ซ่อนอาการเขินอายที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มองหน้าชายผู้นี้ เมื่อคิดว่าจะต้องเจอเขาทุกวันก็มีแต่จะต้องทำใจให้ชินเท่านั้น จะให้มานั่งหน้าแดงแบบนี้ตลอดเวลาคงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

“เล่าต่อสิ ข้าอยากฟังอีก”ชายหนุ่มคะยั้นคะยอเมื่อเห็นว่าสีหน้าเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติไม่ได้แดงฉานเหมือนวินาทีแรกที่หันมาแล้ว

“ข้า… เล่าถึงไหนแล้วนะ?”

“เจ้าถูกแม่นมห้ามไม่ให้เข้าครัว”เรียวปากคมหยักยิ้มตอบเธออย่างอารมณ์ดี

“ใช่… แม่นมสั่งห้ามข้าไม่ให้เข้าครัวอีกเพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกว่านี้ แต่ข้าก็ไม่ได้กลัวไฟหรอกนะ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกอยากทำอะไรกินเองอยู่เหมือนกัน แต่พอจะลงครัวเองทีไรก็จะถูกบ่าวไพร่พาออกจากห้องครัวทุกที”เธอเล่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกประคบประหงมมากเกินไปตั้งแต่เด็ก คนฟังแอบขำเบา ๆ พยายามไม่ให้เธอได้ยิน

“ท่านหัวเราะข้าเหรอ!?”

“ฮะ ๆ ๆ ก็ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีมุมแบบนี้ด้วยนี่”

“ท่านช่างใจร้ายนักที่มาหัวเราะเยาะข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์เล่าให้ท่านฟังแท้ ๆ”เธอหันไปโวยวายค้อนใส่คนยศสูงท่าทางน่าเอ็นดู มือแกร่งลูบหัวเธอราวกับปลอบโยนเด็กน้อยทำเอาเธอตกใจจนต้องเอียงศีรษะหลบ

“โทษที ๆ แล้วที่เจ้าว่าอยากลงครัวทำอะไรกินเองนี่เจ้าอยากทำอะไรหรือ?”

“ก็… ข้า… อยากทำขนมน่ะ… ย… อย่าหัวเราะข้านะ!! ที่ข้าอยากทำไม่ใช่เพราะชอบแต่เพราะไม่ค่อยได้กินบ่อยต่างหากล่ะ!!”

“ฮะ ๆ ๆ ข้าเชื่อเจ้าแล้วล่ะคุณหนู แล้ว… เจ้าอยากชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าล่ะ?”

“ถ้าที่ชอบ… สัญญาก่อนสิว่าจะไม่หัวเราะ…”

“ข้าสัญญา”ถึงจะไม่อยากเชื่อคำสัญญาของคนตรงหน้าซักเท่าไหร่แต่เขาก็เอ่ยมันออกมาแล้ว อีกอย่างแค่บอกขนมที่ชอบไปก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย

“ข้า… ชอบน้ำตาลปั้น…”คนฟังถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ

“น้ำตาลปั้น?”เธอพยักหน้าให้เขา

“เจ้าหมายถึงน้ำตาลปั้นเสียบไม้เขาปั้นเป็นรูปสัตว์ รูปดอกไม้นั่นน่ะหรือ?”

“ก… ก็ใช่น่ะสิ!! ขอโทษด้วยแล้วกันนะที่ข้าชอบอะไรเด็กน้อยแบบนั้น ข้ามันก็เป็นแบบนี้แหละ…”คุณหนูยมลภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจทั้งที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นใบหน้างามพองแก้มทำท่าจะร้องไห้บุรุษเจ้าของเรือนผมสีราตรีก็รู้สึกผิดขึ้นมาแบบงง ๆ ทันที

“คุณหนูข้าขอโทษ เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนเจ้าเลยนะ”เธอยังคงพองแก้มแทนคำตอบให้เขาอยู่อย่างนั้น

เวลาที่เธอโกรธหรือน้อยใจก็ดูไม่ต่างจากเด็กน้อยซักเท่าไหร่ อยากจะเข้าไปกอดปลอบอยู่หรอกแต่ดันไปให้สัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องที่เธอไม่ชอบเอาไว้แล้วเรื่องแบบนี้ก็คงต้องอดใจเอาไว้ก่อน จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย…

“…เห็นข้าอายุขนาดนี้ก็เถอะ ข้าก็มีขนมที่ชอบเหมือนกันนะ”คนขี้งอนหูผึ่งทันทีจึงยอมหันหน้ากลับมาหาเขาเหมือนเดิม

“แล้วท่านชอบอะไรล่ะ?”

“ก็ขนมสเน่ห์จันทร์ลูกกลม ๆ นั่นไง กลิ่นหอมควันเทียนรสชาติไม่หวานมากแถมยังเข้ากันได้ดีกับน้ำชาด้วยนะ… เจ้าขำอะไร?”ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองหญิงสาวที่เปลี่ยนสีหน้าจากงอนแก้มป่องเป็นหัวเราะคิกคักในเวลาอันรวดเร็ว เปลี่ยนอารมณ์ง่ายแบบนี้ยิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าไปใหญ่

แต่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่เรือนนครไพศาลที่เขาเห็นคุณหนูยมลภายิ้มหรือหัวเราะ เพียงได้เห็นภาพตรงหน้ามุมปากของของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็พลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว อยากเห็นมากกว่านี้ อยากเห็นสีหน้าต่าง ๆ ของหญิงสาวให้มากกว่านี้ อยากจะเห็นสีหน้าที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็นเร็ว ๆ

“อย่ามัวแต่ขำสิคุณหนู ตอบข้ามาก่อนว่าเจ้าขำอะไร?”

“ข้าก็ขำท่านน่ะสิ”เธอหัวเราะจนหยดน้ำใสไหลออกจากหางจาก นิ้วเรียวปาดมันออกจนหมดแต่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะ

“แสร้งทำเป็นเจ้าพระยาผู้เคร่งขรึมแต่ที่แท้ก็มีขนมหวานที่ชอบเหมือนกัน แถมกันชอบกินกับน้ำชาอีก”

“ก็ทีเจ้ายังชอบของเด็ก ๆ อย่างน้ำตาลปั้นได้เลย อีกอย่างขนมสเน่ห์จันทร์มันไม่ใช่ขนมเด็กเสียหน่อย”

“ขนมก็คือขนมอยู่ดีนั่นแหละ”ทั้งคู่หัวเราะหยอกล้อกันราวกับกำแพงในจิตใจได้ทลายหายไปจนหมดสิ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่คุณหนูยมลภายอมหันหน้ามาหาเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์แบบเต็มตัว ไม่ได้หันมาแค่ด้านข้างเหมือนตอนแรก ๆ ที่เธอเริ่มชวนคุย

รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยจนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว คนหนุ่มสาวที่หมดเรื่องคุยต่างได้แต่มองหน้ากันเงียบ ๆ หญิงสาวไม่อาจสู้สายตารุกร้ายของชายหนุ่มที่จ้องมองมาที่เธอราวกับต้องการจะกลืนกินได้จึงเบี่ยงเบนความสนใจของตนไปยังท้องฟ้ายามเย็น

“ย…  เย็นป่านนี้แล้วหรือ?”เธอเหม่อมองท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงจนเป็นสีส้มฉาบทาไปทั่วทุกหนแห่ง

“ท่านควรกลับได้แล้วนะ”แม้จะฟังดูเหมือนเอ่ยปากไล่ แต่น้ำเสียงกลับฟังดูจะอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย

“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีกแน่นอน ข้าสัญญา”

“แต่ข้าไม่ได้ขอให้ท่านมานี่…”

“หัวใจข้ามันเรียกร้องน่ะคุณหนู”คำพูดสั้น ๆ แต่ทำคุณหนูยมลภาถึงกับหน้าแดงฉานด้วยความกระดากอาย ใจคอเขาจะพูดจาเห็นแก่ได้แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ

“ไว้พบกันพรุ่งนี้นะคุณหนู”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอก่อนเอ่ยคำลาข้างใบหูนิ่มทำเอาสาวเจ้าเขินเสียจนต้องเอามือปิดหูข้างที่ถูกกระซิบจนขึ้นสีชัดเจน

“จริงด้วยสิ ข้าอยากบอกเจ้ามานานแล้ว… ใบหน้าเจ้างดงามมากนะคุณหนู เวลาอยู่กับข้าสองต่อสองเจ้าไม่จำเป็นต้องคลุมหน้าก็ได้”

เธอไม่รู้ว่าเหตุใดท่านเจ้าพระยาจึงขยันหยอดคำหวานให้เธอใจเต้นไม่เป็นระส่ำเช่นนี้ เขาจะรู้หรือไม่ว่ายามที่เขามาทำดีกับเธอหรือทำให้เธอเขินอายนั้นมันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนผิดจังหวะไปขนาดไหน แถมยังมีความรู้สึกร้อนรุ่มน่าประหลาดที่นับวันยิ่งทวีรุนแรงขึ้นจนแทบบ้านี่อีก ได้โปรดเถิดท่านเจ้าพระยา… ช่วยอย่าทำให้ข้ารู้สึกสับสนกับท่านไปมากกว่านี้เถอะ…

“อ๊ะ!! ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์!?.”ชายหนุ่มในเครื่องแบบโปลิศยืนขวางทางเขาอยู่เรียกชื่อเขาเสียงดัง โครงหน้าและผิวพรรณที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคุณหนูยมลภาทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาคือพี่ชายคนรองแห่งบ้านนครไพศาล

“รู้จักข้าด้วยงั้นหรือ?”

“ต้องรู้จักอยู่แล้วครับ ผมหรินะ นครไพศาลครับ เป็นพี่ชายของน้องมล”โปลิศหนุ่มแนะนำตัวอย่างสุภาพก่อนถามคนยศสูงกว่าต่อ

“ท่านมีธุระกับน้องมลหรือครับ?”

“จริง ๆ ไม่ใช่ข้าหรอกแต่เป็นหมออิทธิพัทธ์ต่างหาก ท่านหมอวานข้าให้มาดูความคืบหน้าผ้าสไบเจ้าสาวของแม่อ้อยแทนเพราะช่วงนี้งานยุ่งกว่าปกตินิดหน่อย”คนฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“วันนี้เสร็จธุระของข้าแล้วคงต้องรีบกลับ ขอโทษที่รบกวนนะหรินะ”ร่างสูงเดินผ่านร่างของโปลิศหนุ่มตรงดิ่งไปที่เพิงรถรับจ้างไม่ห่างจากเรือนครไพศาลเท่าไหร่นัก หรินะได้แต่มองตามแผ่นหลังของท่านเจ้าพระยาที่ค่อย ๆ ห่างออกไป

สองขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนน้องสาวที่โดยปกติเวลานี้มักนั่งปักผ้าอยู่ในห้อง แต่เมื่อขึ้นไปถึงบนเรือนกลับพบน้องสาวที่น่ารักของตนนั่งปิดหน้าฟุบลงกับโต๊ะตัวเตี้ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่พี่ก็คือพี่เพียงแค่เห็นน้องสาวกำลังทำท่าทางประหลาด ๆ กับผู้ชายหน้าตาดีเดินออกจากเรือนไปก็รู้แล้วเกิดอะไรขึ้น

ถ้าลองขอท่านขุนพยัคฆ์เลิกงานเร็วซักวันคงไม่เป็นไรกระมัง…

TBC.

**************************************

Free Talk :

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้พืชเปิดเทอมจริง ๆ แล้วเลยยุ่งขึ้นเยอะค่ะ แต่จะพยายามไม่ดองนานนะคะเพราะพืชเองก็อยากอ่านตอนต่อไปเหมือนกัน 55555

ยังไงก็ขอให้สนุกนะคะ มีฟีแบ็คอะไรคอมเม้นกันได้ หรือไปเวิ่นเว้อใน >>เพจ<< กับ >>ทวิต<< ของพืชก็ได้ค่ะ บายยยย

[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 3

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Story   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning 

                       ฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ต ภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ ที่คุณโค่อธิบายเอาไว้ใต้ภาพมาขยาย+ผสมกาวเจ้มจ้นจนเป็นเรื่องราวขำ ๆ สโลว์ไลฟ์อย่างที่เห็น…

                       แต่!!ขอ ให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลของคุณโค่ เพราะเราเพียงแค่นำเรื่องย่อของคุณโค่มาเป็นเส้นเรื่องหลักเท่านั้น และที่สำคัญหลุดคาร์แน่นอน โปรดใช้จักรยานในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

 

**************************************

บทที่ 3 เผลอใจ

“นำเอกสารชุดนี้ไปส่งที่บ้านเอกวารกิตติด้วย”ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีราตรียื่นปึกรายงานที่ประทับตราประจำตัวส่งให้เด็กรับใช้ก่อนที่ชายผู้นั้นจะค้อมศีรษะให้เขาแล้วนำเอกสารไปส่งให้ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ท่อนแขนที่มีกล้ามมัดพองามถูกยกขึ้นมาปาดเหงื่อที่ไหลรินเต็มหน้าผากยิ่งกว่าวิกฤตการณ์น้ำป่าไหลหลากในช่วงหน้าฝน

แสงแดดในยามเที่ยงนั้นเจิดจ้าเกินกว่าจะทำให้ผู้คนในพระนครออกมาเดินทำธุระปะปังกันตามปกติได้ แม้แต่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ที่ทำงานอยู่ในสำนักงานไม่ได้ออกไหนยังสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แผ่เข้ามาถึงภายในตัวอาคาร สายลมที่โบกโชยมาเป็นระยะ ๆ ไม่ช่วยอะไรเพราะอย่างไรเสียมันก็คือลมร้อน

เวลาแบบนี้เขานึกอยากจะถอดชุดราชปะแตนอันเป็นความภาคภูมิใจของข้าราชการทิ้งไปเสียแล้วไปอาบน้ำให้มันหายร้อนกันไปข้างนึง แต่ในเวลานี้จะทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้ เพราะงานเอกสารราชการนั้นกองพะเนินอยู่บนโต๊ะสูงแทบจะเทียมศีรษะอยู่แล้ว

ไอร้อนจากภายนอกทำให้กระดุมทองสองเม็ดบนถูกปลดออกจนสาบเสื้อเปิดกว้างเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมชายชาตรี อีกทั้งแขนเสื้อที่ยาวจนถึงข้อมือเองก็ถูกพับขึ้นไปจนถึงบริเวณเหนือข้อศอก หากมีอิสตรีเดินผ่านมาในยามนี้คงไม่ดี

 

อยากรู้เสียจริงว่าถ้าเป็นคุณหนูยมลภาผู้ไร้เดียงสามาเห็นสภาพเขาในตอนนี้จะทำหน้าเช่นไร?

 

“ขออนุญาตขอรับ”เด็กรับใช้นายหนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน ใบหน้าสากกร้านเต็มไปด้วยเหงื่อไคลเหนียวเหนอะหนะในมือมีเอกสารซองสีน้ำตาลประทับตราประจำตระกูลคุณานันทกาล ร่างสูงลุกขึ้นนั่งตัวตรงปั้นสีหน้าจริงจังรอฟังรายงานจากเด็กรับใช้อย่างใจเย็นขัดกับสภาพอากาศอันร้อนระอุ

”คุณหลวงสรุจส่งรายงานเรื่องโรคระบาดในพื้นที่หัวเมืองทางทิศตะวันออกมาแล้วขอรับ เห็นว่าต้องการให้ท่านเจ้าพระยาอนุมัติเรื่องที่จะส่งความช่วยเหลือเข้าไปให้เร็วที่สุด”คนฟังพยักหน้ารับเมื่อฟังจบมือรับเอกสารมาเปิดดูก่อนจะปัดมือไล่ให้เด็กรับใช้กลับไปทำงานตามปกติเสียที

เพราะเป็นช่วงต้นเดือน งานในราชสำนักจึงยุ่งมากกว่าปกติ เอกสารและรายงานสำคัญจะถูกส่งมาในช่วงนี้หมด งานหนักตกไปอยู่ที่เหล่าคนยศสูงชั้นเจ้าพระยาทั้งหลายที่ต้องมาไล่อ่านเอกสารเหล่านั้นให้ละเอียดทุกตัวอักษร ไหนจะต้องมาคัดเลือกที่จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติอีก เป็นงานที่ให้ใครช่วยไม่ได้เลย

จะว่าไปแม่อ้อยก็มีญาติห่าง ๆ เป็นเจ้าพระยาเหมือนกันนี่นา ชื่อขึ้นต้นด้วยจ.จานหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ… ตอนนี้คน ๆ นั้นจะหัวหมุนเหมือนเขามั้ยนะ… แล้วอากาศร้อนแบบนี้แม่มลจะกำลังทำอะไรอยู่? คงไม่ได้นั่งปักผ้าอยู่ในห้องแคบ ๆ ที่มีหน้าต่างบานเดียวเป็นตัวช่วยระบายอากาศหรอกนะ… ดีไม่ดีวันที่อากาศร้อนแบบนี้แม่อาจจะกำลังปักผ้าโดยไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าก็เป็นไปได้… ว่าแล้วก็อยากไปหาเร็ว ๆ จะได้ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างจริงจังเสียที

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็อดยิ้มไม่ได้ที่ได้เห็นปฏิกิริยาเคลิบเคลิ้มไร้การขัดขืนจากหญิงสาวเช่นนั้น ทั้งที่เมื่อแรกพบยังดูต่อต้านผลักไสไล่ส่งเขาอยู่แท้ ๆ แต่พอเจอมุกอ้อนวอนจ้องตาเข้าหน่อยก็อ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งลนไฟ ใบหน้าเย้ายวนเอ่อไปด้วยน้ำตานั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของชายหนุ่มยากจะเลือนหายไป

แต่แม้จะพอใจกับภาพที่ได้เห็นอย่างไรการกระทำเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องไม่สมควรอยู่ดี แต่ถ้าจะไปขอโทษเฉย ๆ เธอจะรับคำขอโทษของเขามั้ย? หรือว่าต้องหาของติดไม่ติดมือไปฝากเสียหน่อย? ไม่ ๆ ๆ ทำแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าใช้เงินซื้อใจเธอเลยไม่ใช่หรือ? ต้องทำให้เธอยอมรับเขาด้วยใจจริง คงมีแต่ต้องขอโทษตรงไปตรงมาเท่านั้น

“ท่านเจ้าพระยาขอรับ มีจดหมายส่งมาจากเจ้าเมืองเมืองเชียงใหม่ขอรับ”มือแกร่งรับจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงเขา พ่วงด้วยวงเล็บต่อท้ายว่า ด่วนที่สุด จดหมายซองบาง ๆ เช่นนี้คงมิเกี่ยวกับงานราชการเป็นแน่ หากเป็นจดหมายไร้สาระที่ส่งมารบกวนเวลาทำงานของเขาล่ะก็ เตรียมลงไปอยู่ในถังขยะได้เลย…

 

ถึง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

เป็นเวลาร่วม2ปีที่ข้าและท่านมิได้ติดต่อกันอย่างเคย ข้ายังจำช่วงเวลาที่ท่านเจ้าพระยามาติดต่อราชการแล้วพำนักอยู่ที่เรือนข้าได้ นึกถึงคราใดก็อยากจะย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาอันแสนสุขนั้นเสียเหลือเกิน และเพราะอยากจะลองได้กลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ ในประเพณีปีใหม่เมืองและสงกรานต์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ข้าจึงใคร่อยากจะชวนท่านเจ้าพระยาให้มาร่วมรำลึกความหลังในงานเทศกาลอันเป็นมงคลด้วยกัน

อนึ่งข้ามีบุตรสาวอยู่นางหนึ่งเพิ่งกลับจากเมืองนอ…

 

จดหมายถูกขยำจนยับยู่ยี่ไม่มีชิ้นดี ก่อนจะมีจุดจบไปอยู่ที่ถังขยะมุมห้องอย่างเลือดเย็น ตอนแรกก็คิดว่าจะชวนไปเที่ยวงานเทศกาลบ้านเกิดฉันมิตร ที่ไหนได้กลับมาหลอกขายลูกสาวให้ตนเสียอย่างนั้น ช่างเป็นวิธีหาคู่ครองที่ไร้หัวคิดเสียจริง แย่เสียยิ่งกว่าคลุมถุงชนเสียอีก…

จดหมายเสนอตัวบุตรสาวจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่ใช่ฉบับแรกที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เคยได้รับ ก่อนหน้านี้มีเจ้าเมืองต่าง ๆ มากมายส่งจดหมายมาผูกมิตรกับเขาเป็นระยะ แต่หลัง ๆ มันกลับไม่ใช่จดหมายผูกมิตรแต่เป็นจดหมายเสนอตัวบุตรสาวแทน บางคนก็แนบรูปถ่ายบุตรสาวมาให้เขาพิจารณาด้วย พวกนางเหล่านั้นก็ใจง่ายเหลือเกินที่ยินยอมพร้อมใจจะแต่งกับคนแปลกหน้าเช่นตน

สิ่งที่พอจะเป็นเครื่องชุบชูจิตใจให้คนบ้างานในยามนี้ได้ก็มีแต่ผ้าคลุมหน้าผืนเก่าในกล่องไม้ใบเล็กที่เขาแอบขุดได้จากเมื่อวานที่ไปบ้านคุณหนูยมลภา มือหนาเปิดกล่องออกให้เห็นผ้าสีมอ ๆ แต่กลับหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหงารำไป  เพราะมือยังชุ่มไปด้วยเหงื่อคนยศสูงจึงไม่กล้าที่จะแตะต้องผ้าผืนนั้นในยามนี้ ได้แต่ยื่นหน้าเข้าไปสูดดมกลิ่นหอมหวานจากผืนผ้าพลางจินตนาการว่าได้ตระกองกอดร่างบางของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของมันไว้ในอ้อมแขน

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์วางกล่องไม้นั้นไว้ข้างกายก่อนเหลือบไปมองกองเอกสารที่กองพะเนินอยู่พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ขืนเสียเวลาไปกับจดหมายไร้สาระอีกล่ะก็งานของตนในวันนี้คงไม่คืบหน้าเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นจึงทยอยหยิบเอกสารออกมาทีละปึกแล้วนั่งตรวจอย่างใจเย็นแม้ร่างกายในยามนี้เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเหนียวเหนอะหนะ

เอกสารแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกหยดด้วยน้ำตาเทียนสีแดงชาดก่อนประทับตราโลหะลงอย่างบรรจง เวลาบ่ายคล้อยแล้วแต่งานเอกสารในสำนักงานกลับดูไม่พร่องลงไปเลย ทำไมช่วงต้นเดือนถึงได้ยุ่งขนาดนี้นะ แบบนี้เขาจะไปหาคุณหนูยมลภาได้อย่างไร?

คนอายุมากนวดขมับช้า ๆ คิ้วเรียวมุ่นขมวดเข้าหากันเป็นปม กองงานเหล่านี้แค่มองดูด้วยสายตาก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว แถมเกินครึ่งยังเจาะจงด้วยว่าเป็นแบบด่วนพิเศษที่ต้องการให้เสร็จภายในวันนี้ ไม่รู้จะรีบใช้อะไรกันนักกันหนา ถ้ารีบมากทำไมไม่ส่งมาให้เร็วกว่านี้เล่า? ทำได้เพียงแต่บ่นภายในใจเท่านั้นเพราะสุดท้ายก็ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านทีละบรรทัดอยู่ดี

บางครั้งก็อยากจะบอกพวกคุณหลวง คุณพระทั้งหลายที่ส่งจดหมายมาว่าให้เขียนแค่สั้น ๆ เอาแต่จุดประสงค์จริง ๆ ของจดหมายก็พอ นี่เล่นเขียนมาเสียยาวยืดแต่เนื้อหาหลักกลับมีอยู่แค่สามบรรทัดสุดท้าย อยากจะกาหัวไม่อนุมัติจดหมายประเภทพร่ำเพ้อพรรณานั้นเสียให้หมด แต่ความคิดก็เป็นได้เพียงความคิด เพราะขืนทำแบบนั้นจริง ๆ คงไม่มีจดหมายฉบับใดได้รับการอนุมัติจากเจ้าพระยาผู้เข้มงวดคนนี้เลย

อากาศร้อนและงานเอกสารที่ดูไม่พร่องลงไปเลยทำให้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เริ่มออกอาการหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ร่างสูงหยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ไม้เดินวนไปมารอบห้องพร้อมจิตที่ฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งแต่รับราชการมาไม่เคยอยากเลิกงานเร็วขนาดนี้มาก่อน นัยเนตรประดับจันทร์เสี้ยวมองออกไปนอกหน้าต่างนึกถึงสถานที่ๆต้องการจะไปมากที่สุดในยามนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ไหล่กว้างลู่ลงก่อนที่สองขาจะพาร่างกายระเห็จกลับไปอยู่ที่โต๊ะทำงาน ในขณะเดียวกันท่านเจ้าพระยานั้นหาได้รู้ตัวไม่ว่าสีหน้าร้อนรนและพฤติกรรมแปลก ๆ เหล่านั้นถูกเหล่าเด็กรับใช้ที่อยู่ภายนอกมองเห็นจนหมด

 

ดูท่าว่าท่านเจ้าพระยารูปงามจะมีเรื่องให้บ่าวไพร่เอาไปนินทาหลังเวลาเลิกงานเสียแล้ว…

 

เมื่อตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ผู้คนที่ออกมาทำธุระภายนอกก็ยิ่งบางตา แต่ไม่ใช่กับคุณหนูยมลภา นครไพศาลผู้ไม่ยอมออกไปไหนไกลเกินเรือนใหญ่ วันนี้เธอก็ยังคงได้แต่นั่งปักผ้าสไบเจ้าสาวอย่างเช่นเคยจะมีที่ไม่เหมือนเดิมก็คือวันนี้เธอยอมออกมาปักนอกห้องและไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าเพราะอากาศในวันนี้มันร้อนเกินไป

งานในวันนี้คืบหน้าไปมากเพราะไม่มีใครแวะเวียนมากวนใจเธออย่างเคย แต่มันจะคืบหน้ากว่านี้ถ้าเธอไม่เผลอนอนฝันกลางวันไปเสียนาน มิหนำซ้ำยังฝันในเรื่องที่ไม่ควรเสียอีก อยากจะลืมเสียจนแทบบ้าแต่สมองเจ้ากรรมกลับจดจำได้แม่นราวกับจดบันทึกไว้

ผ่ามือขาวตีเข้ากับใบหน้างามเบาๆเป็นการเรียกสติตัวเอง ยิ่งเธอปักผ้าผืนนี้เสร็จเร็วเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ฉันลูกจ้างและนายจ้างระหว่างเธอและเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็ยิ่งหมดลงเร็วเท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นฝีเข็มก็เริ่มขยับขึ้นมาอีกครั้ง ไพลินและมรกตที่คุณหมออิทธิพัทธ์ฝากมาให้ผ่านพี่ชายของเธอเมื่อเย็นวานถูกปักไว้ตรงกลางเป็นเกสรดอกพิกุล ถึงจะรับงานปักอัญมณีไม่บ่อยนักแต่เธอก็ทำมันได้อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนพระอาทิตย์ตกดิน คบไฟหน้าเรือนถูกจุดขึ้นให้สว่างไสวโดยบ่าวไพร่ที่อยู่ด้านล่าง คุณหนูยมลภาคว้าตะเกียงจ้าวพายุที่อยู่ข้างกายมาจุดไฟเพิ่มแสงสว่างให้ตนเอง แต่แสงเล็ก ๆ นั้นก็ไม่ได้สว่างพอจะให้เธอปักผ้าต่อไปได้ คิดได้ดังนั้นจึงยอมพับผ้าสไบและเก็บอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยใส่ลงในกล่องไม้อย่างเรียบร้อยเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอน

“ทำอะไรอยู่น้องพี่?”ร่างบางลอยสูงขึ้นจากพื้นด้วยมือหนาของชายร่างยักษ์ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างมารดาของคุณหนูยมลภา ในมือเธอถือกล่องไม้ที่ภายในมีอัญมณีเม็ดเล็กอยู่เต็มไปหมดและเมื่อกี้ก็เกือบจะหวิดทำมันหลุดมือเสียแล้ว

“พี่!? ปล่อยข้าลงนะ…”น้องสาวตัวน้อยร้องทักท้วง ผู้เป็นพี่ตอบกลับเธอมาแค่เพียงเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนจะวางเธอลงกับพื้นเรือนตามเดิม

“อย่าแกล้งน้องมากสิครับ น้องไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”พี่ชายคนรองในเครื่องแบบโปลิศเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม สาวน้อยคนเดียวของบ้านนครไพศาลก้มหน้าก้มตาเก็บทรัพย์สมบัติของตัวเองที่วางกองอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย

“วันนี้น้องพี่ปักผ้าได้ถึงไหนแล้วล่ะ? คืบหน้าขึ้นเยอะรึเปล่า?”เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบพลางมองผ้าสไบในอ้อมกอดของน้องสาวตน

“ทำไปได้เยอะทีเดียวค่ะ อีกไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จ”เธอตอบพี่ชายอย่างเป็นธรรมชาติด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“จริงสิ… แล้วแผลที่มือหายรึยังล่ะ?”โปลิศหนุ่มโพลงถามถึงเรื่องแผลที่มือของน้องสาวที่เขาบังเอิญไปเห็นเข้าเมื่อเย็นวานระหว่างที่นำไพลินและมรกตไปให้เธอ

“แผล? แผลอะไร? ทำไมพี่ไม่รู้?”คนถูกถามสะดุ้งเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุดันคาดคั้นถึงสาเหตุของบาดแผลจากพี่ใหญ่ จะให้ตอบไปตรง ๆ ได้อย่างไรว่าไปได้แผลมาตอนปะทะคารมณ์กับท่านเจ้าพระยาคนนั้น มิหนำซ้ำเขายังเป็นคนทำแผลให้อีก ให้ตายเธอก็ไม่บอกความจริงเด็ดขาด

“เอ่อ… น้อง… โดนกระจกบาดน่ะค่ะ… ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ…”เธอปดออกไปพลางซ่อนมือที่พันแผลไว้ทั้งสองข้างไว้ใต้ผืนผ้าสไบไม่ให้ถูกสืบค้นความจริงใด ๆ ได้อีก เมื่อพี่ชายทั้งสองฟังได้แต่พยักหน้าให้กันไม่ได้พูดอะไร

“ทีหลังระวังตัวหน่อยสิ วันนี้ก็ไม่ต้องปักผ้าต่อแล้วนะ ให้มือได้พักบ้าง ผ้าเก็บไว้ปักพรุ่งนี้ก็ได้”พี่คนรองยืนเท้าเอวบ่นเสียยืดยาวดูไม่ต่างกับมารดาของเธอซักเท่าไหร่ อีกคนก็ดูท่าทางจะเห็นด้วยจึงได้แต่ยืนกอดอกพยักหน้ารัว ๆ ให้กับคำพูดของน้องชายร่วมมารดา

“ค… ค่ะ… ถ้าเช่นนั้นน้องขอตัวก่อนนะคะ”คุณหนูยมลภาเดินค้อมหลังเข้าห้องของตนไปเพื่อหลีกหนีสถานการณ์น่าอึดอัด สิ้นเสียงปิดประตูร่างของพี่ชายทั้งสองก็ถึงกับทรุดนั่งลงบนพื้นเรือน

“เมื่อกี้น่ะโกหกสินะ”เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยระวังไม่ให้เล็ดลอดถึงหูน้องสาวที่อยู่ในห้องนอนไม่ไกลจากศาลากลางเรือน

“ครับ เมื่อวานตอนเข้าไปดูในห้องกระจกก็ยังอยู่ดี”พี่คนรองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบาง สุราแรงฤทธิ์ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเสบียงของพี่ใหญ่ก่อนของเหลวสีใสจะถูกรินจนเต็มสองจอก

“ไม่อยากรู้หรือว่าจริง ๆ แล้วแผลนั่นน้องได้มายังไง?”ร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นหลังจากกระดกสุราไปแล้วจนหมดจอกภายในเวลาอันรวดเร็ว

“ถ้าน้องไม่อยากบอกผมก็จะไม่คาดคั้นครับ หรือคุณพี่จะไปถามเองล่ะครับ?”

“คั่ก ๆ ๆ ๆ ๆ เจ้าเห็นพี่เป็นคนแบบนั้นรึ? ข้าเองก็จะไม่ถามอันใดน้องมลดอก หากน้องไม่ต้องการข้าก็จะไม่ซักไซร้ให้มากความ”พรานหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ คนฟังได้แต่อมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกระดกสุราจนหมดในครั้งเดียว

“แบบนี้ก็สมกับเป็นคุณพี่ดีนะครับ”

“แน่นอน ก็การเข้าใจความต้องการของน้องโดยมิต้องเอ่ยปากถามมันเป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างพวกเราอยู่แล้วนี่”พี่ชายทั้งสองแห่งบ้านนครไพศาลลอบมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้กันราวกับเข้าใจความนัยที่ต้องการจะสื่อ แม้น้องสาวคนเล็กจะไม่ค่อยเอ่ยปากพูดอะไรกับพวกเขามากนัก แต่เพราะความผูกพันธ์ทางสายเลือดนั้นจึงทำให้ทั้งคู่เข้าใจเธอดีจนทุกวันนี้แค่มองตาก็แทบจะรู้ใจ เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องให้พวกเขาคอยดูแลประคบประหงมตลอดเวลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว

จอกสุราถูกเติมจนเต็มอีกครั้งพร้อมกับบทสนทนาต่าง ๆ ที่ถูกแลกเปลี่ยนกันอย่างไม่รู้เบื่อไม่รู้จบ แต่หลัง ๆ เริ่มไม่มีการพูดคุยหากแต่เป็นการดวลสุราระหว่างสองพี่น้องต่างหาก เพราะราตรีนี้ยังอีกยาวไกลและหากยังไม่มีใครเมาหลับล้มพับไปก่อนก็อย่าหวังเลยว่าศึกดวลสุราครั้งนี้จะจบลงง่าย ๆ

คุณหนูยมลภาแง้มบานประตูไม้สักให้พอเป็นช่องเล็ก ๆ สำหรับมองออกไปภายนอกได้ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอคือศึกดวลสุราที่ทวีความดุเดือดมากขึ้นทุกที ครั้งแรกเธอยังเห็นแค่ขวดสุราที่ห่อด้วยกระดาษน้ำตาลกับจอกเล็ก ๆ 2จอก แต่ตอนนี้กลับมีถ้วยชามรามไหมาจากไหนอีกเยอะแยะก็ไม่รู้ กับแกล้มที่บ่าวไพร่อุตส่าห์เอามาให้ก็ยังอยู่เท่าเดิมกับตอนแรกที่ได้รับมา เป็นศึกดวลสุราเพียว ๆ ของแท้ แต่เล่นอยู่กันเต็มบ้านขนาดนี้แล้วเธอจะลงไปอาบน้ำได้อย่างไรเล่า!?

แม้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วแต่หน้าร้อนก็คือหน้าร้อน ระหว่างที่ยังลงไปอาบน้ำคลายร้อนไม่ได้ คุณหนูยมลภาก็ต้องจำยอมถอดผ้าคลุมหน้า ร่นกระโจมอกออกจนหลวมโครกโบกพัดคลายร้อนอยู่บนเตียงไปพลาง ๆ พัดใบลานแม้จะช่วยคลายร้อนได้ไม่มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย หญิงสาวหลับตาพริ้มระบายลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย แต่คงไม่ดีถ้าเธอเผลอหลับไปโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ

ปึ้ก!!

จู่ ๆ เสียงบางอย่างกระทบเขากับตัวเรือนภายนอกห้องของเธอ ร่างบางนั่งชิดติดเสาเตียงมองไปยังหน้าต่างห้องอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ผ้าคลุมถูกหยิบฉวยมาใช้ปิดบังใบหน้าอีกครั้งทั้งมือเรียวยังกระชับกระโจมอกให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจนึกอยากจะมีความกล้าพอจะลุกไปปิดมันแต่ความกลัวในห้วงลึกที่สุดของจิตใจกลับขัดขวางเธอเอาไว้ทำได้แค่เพียงนั่งมอง แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ แค่วิ่งออกไปหาพี่ชายทั้งสองที่อยู่นอกห้องเสียก็สิ้นเรื่อง…

 

ถ้ายังไม่เมากันไปเสียก่อน…

 

เสียงประหลาดเงียบลงพอให้หญิงสาวได้หยุดพักหายใจ แต่ไม่ทันไรเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกถี่ขึ้น ๆ มีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้เธอ มือเล็กสั่นระรัวหยิบสิ่งใกล้เคียงอาวุธที่อยู่ใกล้มือที่สุดคือเข็มร้อยมาลัยออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง

คุณหนูยมลภาถือเข็มเล่มยาวตั้งท่าราวกับจะฟันดาบก่อนจะทำใจกล้าพาตัวเองไปยืนประจันหน้ากับหน้าต่าง ในใจนึกภาวนาให้เป็นเพียงเสียงกระรอก กระแตที่ทำรังอยู่บนต้นประดู่ข้างห้องเธอแทน มือข้างหนึ่งคว้าม่านลูกไม้เอาไว้แล้วเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว

เมื่อผ้าม่านเปิดออกขาเพรียวก็ก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ คุณหนูยมลภาหลับตาปี๋แขนเล็กยืดเหยียดจนสุดความยาวเล็งให้ปลายเข็มชี้หน้าบุคคลต้องสงสัยที่บังอาจปีนเข้าห้องเธอ บุคคลปริศนาส่งเสียงหัวเราะร่าเย้ยหยันเธอ เป็นเสียงหัวเราะที่เธอเคยได้ยินมาก่อน…

“ฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ หลับตาแบบนั้นจะไปเห็นตัวคนร้ายได้อย่างไรเล่าคุณหนู?”สุดท้ายแล้วบุคคลปริศนากลับไม่ใช่โจรหรือขโมยที่ไหน แต่เป็นเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้บ้างานนี่เอง เมื่อคุณหนูยมลภาได้ยินเสียงของชายหนุ่มก็ลดปลายเข็มลงพลางเบิกตาโพลง พวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีชาดอย่างเด่นชัดเพราะเหตุการณ์เมื่อวานและฝันประหลาดพลันแล่นเข้ามาในหัวทันทีที่เห็นหน้าเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

“ท่าน!? ทำไมไม่เข้ามาทางหน้าเรือนเล่า?”หญิงสาวนึกอยากจะตีปากไว ๆ ของตัวเองเหลือเกิน เธอควรจะเอ่ยปากไล่เขาต่างหาก ไม่ใช่ไปเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาทางหน้าเรือน

“อันที่จริงข้าก็อยากจะเข้าตามตรอก ออกตามประตูอยู่หรอก แต่พี่ชายเจ้ากำลังดวลสุรากัน ข้ากลัวจะเข้าไปขัดจังหวะเลยคิดว่าปีนขึ้นมาดีกว่า”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยพลางเท้าแขนกับขอบหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวเจ้าของห้องมองผู้บุกรุกอย่างไม่ไว้วางใจแต่มือเรียวกลับวางอาวุธไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งราวกับถูกสั่งการ

“เอ… แต่เมื่อกี้เจ้าถามว่าทำไมข้าไม่เข้าทางหน้าเรือนสินะ แสดงว่าเจ้าหายโกรธข้าเรื่องเมื่อวานแล้วงั้นหรือคุณหนู?”ภาพเก่าวนฉายซ้ำอีกครั้งให้หญิงสาวรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ ทั้งน้ำเสียงก้องกังวาล ไหนจะสายตาคู่นั้น จันทร์เสี้ยวสีทองที่เพียงแค่มองก็ต้องตกอยู่ใต้อานัติอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ร่างเล็กกลบเกลื่อนความอายของตนด้วยการสาวเท้าไปหยิบหมอนใบใหญ่บนหัวเตียงฟาดเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จนอีกฝ่ายเกือบตกจากบันไดลิง

“ยังไม่หาย!! ข้าโกรธ!! โกรธมาก ๆ!! ท่านมันคนไม่ดี!!”หมอนใบนุ่มถูกฟาดใส่หน้าเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อย่างเต็มรัก คนถูกฟาดไม่เคยได้ยินคำด่าใดน่ารักน่ารักน่าชังขนาดนี้มาก่อน และแม้ว่าตัวจะหวิดตกบันไดอยู่รอมร่อแต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรหญิงสาวเลยซักนิดเดียว ได้แต่ยกแขนขึ้นมาบังไม่ให้หมอนฟาดถูกใบหน้าของตนไปมากกว่านี้เท่านั้น ส่วนมืออีกข้างก็จับขอบหน้าต่างไว้แน่นเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะไม่ตกลงสู่เบื้องล่าง

“โอ้ย!! ใจเย็นก่อนสิคุณหนู ข้าแค่อยากมาขอโทษเจ้าเองนะ”

“ไม่จำเป็น!! กลับไปซะก่อนที่ข้าจะร้องให้พี่ชายข้ามาช่วย”เธอเขวี้ยงหมอนลงบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์พลางเอ่ยวาจาข่มขู่คนมียศอย่างเป็นต่อ ผู้บุกรุกลอบมองใบหน้าหญิงสาวแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงหน้าแดงได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาแดงแต่แดงมาตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นว่าเขาคือคนร้ายที่แอบปีนขึ้นมาหาเธอแล้ว หรือจะโกรธจัดอยู่จริง ๆ?

“ให้ข้าได้ขอโทษเจ้าก่อนเถอะนะคุณหนู ถ้าข้าไม่ขอโทษเจ้าแล้วเจ้าไม่ให้อภัยข้าล่ะก็วันนี้ข้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่”ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อนพลางส่งสายตาอ้อนวอนอีกครั้งแต่ดูท่าว่าคราวนี้จะไม่ได้ผลเสียแล้ว…

“เรื่องของท่านสิ รีบกลับไปซะ”แขนอรชรเคลื่อนผ่านหน้าท่านเจ้าพระยาไปคว้าเอาบานหน้าต่างแล้วทำท่าจะปิดมัน นี่ใจคอจะไล่ข้าให้ได้เลยหรือยังไงคุณหนู!?

“ขอร้องล่ะ ข้ารู้สึกผิดกับเจ้าจริง ๆ ให้ข้าได้กล่าวคำว่าขอโทษกับเจ้าซักครั้งเถิดคุณหนู”นัยเนตรประดับจันทร์เสี้ยวจ้องมองมาที่เธออีกครั้งและมันบอกกับเธอว่า’ขอร้อง’ แบบนี้มันไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย… แต่จะไล่ให้เขากลับทั้งแบบนั้นมันก็จะใจร้ายเกินไป…

“ง… งั้นก็รีบ ๆ พูดเข้าสิ…”ใบหน้างามใต้ผ้าคลุมหน้าเสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนความเขินอาย คนฟังระบายรอยยิ้มด้วยความปิติยินดี

“ข้าขอโทษที่ฉวยโอกาสกับเจ้านะคุณหนูยมลภา ข้ามิได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ”ครั้นจะบอกตามความจริงว่าเขานั้นห้ามใจตัวเองไม่ไหวก็กระไรอยู่ แต่อย่างน้อยก็อยากให้เธอได้รู้ว่าเขารู้สึกผิดมากเพียงใดที่ไปล่วงเกินเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต

“ถ้าเช่นนั้นล่ะก็… สัญญากับข้าสิว่าจะไม่ฉวยโอกาสทำในสิ่งที่ข้าไม่ชอบอีก”แม้ปากจะผลักไสไล่ส่งเขาอยู่หลัด ๆ แต่แท้จริงแล้วคุณหนูยมลภาก็ไม่ได้จงเกลียด จงชังหรือว่าโกรธอะไรเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มากมายอย่างที่คิด เธอเพียงแค่ไม่พอใจที่ถูกผู้ชายที่รู้จักกันยังไม่ถึงสัปดาห์เข้าประชิดตัวจนเกือบทำอะไรเกินเลยกันไปแล้วก็เท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องโกรธแน่นอนว่าเธอก็ต้องโกรธเขาอยู่แล้ว แต่เธอกลับโกรธตัวเองมากกว่าที่ลืมภาพในตอนนั้นไม่ได้ แม้กระทั่งสายตาที่เขาจ้องมองมาที่เธอจนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ลืม ซ้ำใจยังคอยจะเฝ้าแต่คิดถึงเขาจนขนาดเก็บไปฝันอีก เกลียดเหลือเกิน… เกลียดตัวเองนี่แหละ… เกลียดที่เป็นแบบนี้…

“ข้าสัญญา”คนหนุ่มเอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัดให้หญิงสาวได้ยิน

“งั้นข้าก็จะให้อภัย… แค่นี้ก็พอแล้วใช่มั้ย? ทีนี้ก็ท่านก็รีบกลับก่อนที่ใครจะมาเห็นเถอะ”เธอพูดทั้งสีหน้าเขินอายอย่างปิดไม่มิด เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์รู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกก็ไม่ปานที่อย่างน้อยคุณหนูยมลภาก็ให้อภัยไม่ติดใจเอาความอะไรเขา เพราะที่บอกว่า’ถ้าเธอไม่ยกโทษให้วันนี้เขาคงนอนไม่หลับ’นั้นเจ้าตัวพูดด้วยความสัจจริง

โครม!!

“ใครอยู่ข้างนอกน่ะ!?”เสียงบางอย่างร่วงหล่นดังก้องมาจากภายนอกตัวเรือนตามด้วยตะโกนของพี่ใหญ่แห่งบ้านนครไพศาล ฝีเท้าใหญ่ยักษ์กำลังก้าวออกไปทางประตูเรือนราวกับจะไปดูเหตุการณ์ด้านนอก หรือพี่เธอจะรู้ว่ามีคนแอบปีนเข้าห้องน้องสาวตอนดึก ๆ!?

“ท่านแอบอยู่ตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหนนะ ข้าจะไปดูพี่ข้าข้างนอกหน่อย”พูดจบเธอก็รีบวิ่งแจ้นออกไปนอกห้องทันที ทิ้งให้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยืนใจหายใจคว่ำอยู่บนบันไดลิงคนเดียว

การก้มตัวหลบให้พ้นจากระยะขอบหน้าต่างดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะห้องของคุณหนูยมลภาอยู่ติดคลอง ตั้งอยู่ทิศตรงข้ามกับเรือนบ่าวไพร่และห้องน้ำเจ้านาย แถมยังมีต้นประดู่และพุ่มไม้ขึ้นเรียงกันจนรกรุกรัง ตัวเขาเองขามาก็ไม่ได้นั่งรถม้ามาจากเรือนใหญ่ แต่อาศัยเรือของบ่าวไพร่พายมาจนถึงท่าน้ำเรือนนครไพศาล จริง ๆ แล้วถ้าจะให้หนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย

แน่นอนว่าหากคุณหนูบอกให้เขาอยู่เขาก็จะไม่ไปไหน เพราะยังไงซะผู้ดีอย่างเขามีหรือจะพายเรือมาเอง แค่จับไม้พายให้ถูกเขายังทำไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ที่มาได้จนถึงขนาดนี้ก็เพราะน้องชายต่างมารดาอีกคนพายมาส่งต่างหาก แต่กว่าจะขอให้พามาได้เจ้าตัวก็อิดออดบอกว่าขอกล่อมน้องชายบุญธรรมให้หลับก่อนจึงจะพายไปส่งให้ ระหว่างนั้นเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เองก็แทบจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปได้เกือบสามรอบ กินเวลาไปหลายชั่วโมงทีเดียวกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แล้วตอนนี้น้องชายตนก็น่าจะรออยู่ที่ท่าเรือกระมัง… หวังว่าจะยังไม่ถูกใครจับได้นะ

“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านพี่?”น้องสาวคนเล็กวิ่งมาหาพี่ชายทั้งสองที่พากันไปอออยู่หน้าประตูเรือน คนตัวใหญ่กว่าสลบล้มพับไปโดยมีชายที่ตัวเล็กกว่าประคองอยู่

“แค่แมวน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”คนที่ยังมีสติอยู่ก้าวถอยออกมาเผยให้เห็นภาพแมววิเชียรมาศตาสีฟ้ากำลังขู่ฟ่ออยู่บนกระถางดินเผาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นเรือน เศษดินกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมดแต่ดึกป่านนี้จะให้ไปปลุกบ่าวไพร่ที่กำลังหลับสบายก็กระไรอยู่

“ท่านพี่แพ้อีกแล้วเหรอคะ?”หญิงสาวตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยพลางหันมามองพี่ชายร่างยักษ์ที่กำลังสลบอยู่

“ก็ไม่เคยชนะนี่นา”พี่รองตอบพลางหัวเราะร่วน ศึกดวลสุราระหว่างสองพี่น้องนั้นมีมานานแต่ไม่มีครั้งใดที่พี่ใหญ่จะชนะพี่รองได้เลย ผลสุดท้ายความลำบากก็ตกอยู่ที่คนชนะที่ต้องมาแบกร่างหนัก ๆ ผู้แพ้กลับห้องและบางครั้งก็ต้องรบกวนน้องสาวร่างเล็กด้วยเช่นกัน

“น้องมลไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง”พี่รองจับคนที่หมดสติพาดบ่าอุ้มกลับห้องทิ้งให้น้องสาวยืนเคว้งคว้างโดยมีเพียงแมววิเชียรมาศอยู่เป็นเพื่อน

คุณหนูยมลภาย่อตัวลงพิศดูแมวตัวนั้นกำลังแทะใบพลูด่างเล่นอย่างสนุกสนาน มือเรียวจึงอุ้มแมวตัวนั้นขึ้นแนบอกแล้วเปิดประตูเรือนก่อนจะปล่อยมันออกไปข้างนอก ในใจนึกเป็นห่วงกลัวว่ามันหลงทางกลับบ้านไม่ถูกหรือโดนสุนัขกัดตายกลางทาง แต่อุตส่าห์เข้ามาถึงเรือนนครไพศาลได้ขนาดนี้แมวตัวนั้นคงเก่งพอตัวไม่น่าจะเป็นอะไรไปง่าย ๆ

“มาช้านะคุณหนู”คนอายุมากบ่นขึ้นมาทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้อง ในมือเขามีผ้าสไบเจ้าสาวที่ถูกคลี่ออกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมายมาจากคุณหมออิทธิพัทธ์ผู้เป็นน้องชาย

“ท่านเอามาได้ยังไง!?”เธอร้องขึ้นมาพลางก้มมองดูที่พื้นว่ามีรอยเท้าใดติดอยู่หรือไม่

“เจ้าวางมันไว้บนหัวเตียง เอื้อมมือไปเพียงนิดเดียวก็หยิบได้แล้ว”พูดพลางยักไหล่ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร คนฟังได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างเนื่อยหน่ายกับความเอาแต่ใจของคนยศเจ้าพระยาตรงหน้าเธอ ขาเพรียวก้าวไปหยุดตรงหน้าเขาก้มมองผ้าปักฝีมือตนเองแล้วเอ่ยถามขึ้นตามารยาท

“ดูเป็นอย่างไรบ้าง? พอใช้ได้มั้ย?”

“งดงามมากทีเดียว ข้าไม่เคยเห็นอะไรงดงามขนาดนี้มาก่อน”คนเจ้าเล่ห์ตอบโดยที่สายตามองแต่ใบหน้าเธอไม่ได้สนใจผืนผ้าเลย หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาหาได้เข้าใจคำหวานนั้นไม่จึงได้แต่หลงยินดีที่อีกฝ่ายชมฝีมือปักผ้าของเธอ

“ข้าดีใจที่ท่านชอบนะ”เธอตอบกลับไปสั้น ๆ ก่อนยื่นมือไปรับผ้าคืน

“ใช่ ข้าชอบมากเลยล่ะ”รอยยิ้มอันแอบแฝงไปด้วยเลศนัยถูกระบายขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มโดยที่อีกฝ่ายยังไม่เห็นเพราะมัวแต่พับผ้าเก็บอยู่

“ถึงท่านจะชอบแต่นี่มันเป็นของเจ้าสาว ไม่ใช่ของท่านซักหน่อย” เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์แอบรู้สึกขำขันกับความอ่อนประสบการณ์ของคุณหนูยมลภา ทั้งที่อุตส่าห์แสดงออกขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยซักนิดว่ากำลังถูกเกี้ยวอยู่ ช่างผู้หญิงที่ใจร้ายเสียจริง…

“นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรท่านก็กลับไปเถอะ”หญิงสาวพยายามเอ่ยปากไล่ให้ดูสุภาพที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการหมิ่นเกียรติของชายหนุ่มที่มียศเป็นถึงเจ้าพระยา คนถูกไล่เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าเวลาแยกจากจะต้องมาถึงแต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้ขอโทษเธอแล้วและเธอก็ยกโทษให้ นั่นก็หมายความว่าจากนี้ไปเขาจะมาที่เรือนนครไพศาลได้ทุกเวลาที่เขาต้องการโดยไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป

 

และไม่ต้องปีนเข้าทางหน้าต่างด้วย

 

“อืม… ถ้างั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคุณหนูของข้า”คำที่ชายหนุ่มใช้เรียกเธอในตอนท้ายนั้นทำเอาสาวเจ้าถึงกับหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกขึ้นมาอีกครั้ง ใจดวงน้อยก็เต้นตึกตักขึ้นมาจนรู้สึกน่ารำคาญ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งสัญญาไปแท้ ๆ ว่าจะไม่ทำอะไรที่เธอไม่ชอบอีก ผู้ชายคนนั้น… แย่ที่สุดเลย!!

ขายาวก้าวลงจากบันไดลิงช้า ๆ ไม่ให้ก้าวพลาดหรือเกิดเสียงดังให้ต้องมีใครออกมาดู เมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนูยมลภาปิดผ้าม่านดีแล้วมือแกร่งก็ค่อย ๆ ยกบันไดไปเก็บในที่ ๆ มันควรจะอยู่ตั้งแต่แรกเพื่อไม่ให้มีใครสงสัยในยามเช้า น้องชายต่างมารดายังคงรอเขาอยู่บนเรืออย่างใจเย็นโดยมีแมวที่ไหนก็ไม่รู้นั่งเป็นเพื่อนเคียงข้าง

“ท่านไปนานจนข้าเกือบพายเรือกลับเรือนแล้ว ถ้านานกว่านี้ข้าคงนึกว่าท่านจะค้างที่นี่”น้องชายต่างมารดาหันไปมองพลางเอ่ยเหน็บแนมเล็กน้อยก่อนจะส่งมือให้พี่ชายจับเพื่อให้ก้าวลงเรือโดยง่าย

“ก็อยากจะค้างอยู่ แต่คุณหนูช่างพยศเหลือเกิน”

“คนอย่างท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์คงมิเคยเจอหญิงใดดื้อพยศเหมือนนางสินะถึงได้ติดใจได้ขนาดนี้”

“หึ… แน่นอน แต่ข้าจะทำให้นางใจอ่อนให้ได้ ซักวันน่ะนะ…”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะพบเจอผู้หญิงที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเขา เพราะยศศักดิ์ที่เป็นถึงเจ้าพระยากับหน้าตาอันหล่อเหลาคมคายทำให้หญิงสาวทั่วทั้งพระนครแทบจะยอมถูกพ่อแม่จับใส่พานถวายให้เขากันทั้งนั้น และนั่นทำให้เขาเกิดความเบื่อหน่ายจนปล่อยตัวเองให้เป็นโสดมาจนอายุ30ปี

“ดูท่าข้าคงจะได้พี่สะใภ้ในเร็ววันเสียแล้วสิ”มือใหญ่ยักษ์คลายปมเชือกที่ผู้รั้งตัวเรือกับท่าเอาไว้แล้วโยนมันไว้ข้างหลัง เสียงเชือกเส้นใหญ่กับเรือไม้กระทบกันดังตุ้บทำให้แมวที่นอนอยู่ข้าง ๆ คนพายเรือถึงกับสะดุ้งตื่น

“แมวนั่นมาจากไหน?”คนอายุมากกว่าถาม

“ข้าก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ มันก็กระโดดลงเรือมานอนบนเรือเฉยเลย”น้องชายตอบพลางลูบศีรษะเจ้าแมวเล่นอย่างรักใคร่ มันได้แต่หลับตาพริ้มยอมให้มือใหญ่ลูบแต่โดยดี หางยาวกระดิกไปมาดูท่าทางมีความสุข เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เองก็รู้สึกเอ็นดูเจ้าแมวตัวนี้อยู่ไม่น้อยจึงจะลองเล่นกับมันบ้าง แต่เพียงแค่เขาเอามือเข้าไปใกล้แมวตัวนั้นก็เบิกตาโพลงแล้วใช้เล็บข่วนมือท่านเจ้าพระยาจนเลือดซิบ

“โอ้ย!!”แมวตัวนั้นกระโดดหนีขึ้นไปยังท่าเรือก่อนจะวิ่งหนีหายไปในความมืด คนถูกข่วนชะเงื้อคอมองหามันจากระยะไกลเห็นเพียงแค่นัยตาสีฟ้าสว่างเรืองแสงออกมาจากใต้ถุนเรือน ใบหน้าคมสันก้มมองรอยแผลที่เป็นแนวเส้นตรงสามเส้นแล้วก็ได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมาซับเลือดเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ดูท่ามันจะไม่ค่อยชอบท่านนะ”คนพายเรือหัวเราะเยาะหลังจากได้เห็นภาพพี่ชายของตนถูกแมวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย คนถูกเย้าได้แต่ยิ้มพลางนึกถึงหญิงสาวที่เวลาอยู่กับเขาชอบทำกิริยาราวกับแมวตัวนั้นไม่มีผิด

“เหมือนเปี๊ยบเลยแฮะ…”ภาพที่เธอวิ่งหนีเขาในวันแรกและตอนที่ผลักเขาออกในวันที่สองย้อนฉายซ้ำให้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์หายคิดถึง คุณหนูมลภาก็เหมือนกับแมวที่แรก ๆ ก็ขู่ฟ่อไม่ยอมให้เข้าใกล้ มีแต่จะต้องให้เวลากับเธอเท่านั้นจึงจะได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจ

“อะไรเหมือนรึ?”อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ”คนฟังยักไหล่ไม่สนใจกับคำตอบที่ได้รับ ไม้พายขยับไหวค่อย ๆ พาเรือแล่นกลับเรือนใหญ่อย่างไม่รีบร้อนโดยที่เจ้าพระเสี้ยวจันทร์มิได้รู้ตัวเลยว่าคุณหนูยมลภาผู้นั้นมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องของเขาจนรู้สับสนในหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

TBC.

**************************************

Free Talk :

สวัสดีค่ะ พืชหายไปนานเลยพอดีติดสอบนิดหน่อยค่ะ แล้วก็ติดไปเที่ยววันแม่ด้วย แต่ตอนนี้สอบเสร็จแล้วธุระอะไรก็เสร็จแล้วเลยมาลงฟิคให้ทันทีเลยค่ะ เนื้อเรื่องตอนนี้อาจจะชิลไปหน่อย หวังว่าจะไม่ทำให้ทุกท่าเบื่อนะคะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ (*・∀-)☆