[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 12

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

แฟนฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ตภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ จากพล็อตดั้งเดิมของคุณโค่มาเพิ่มเติมในส่วนเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อย บลา ๆ ๆ

แอนด์!!

ชื่อตัวละครทุกตัวในเรื่องถูกดัดแปลงจากชื่อจริงของดาบในเกมเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยตามเนื้อเรื่อง โดยในส่วนนี้ได้ทำการขออนุญาตและปรึกษาคุณโค่มาแล้วเช่นกัน ดังนั้น ห้าม!! นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณโค่เด็ดขาดค่ะ

(ไม่ต้องมาขอเราเน้อ เราก็ไปขอคุณโค่มาอีกทีเหมือนกัน ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ)

อย่างไรก็ตามทางผู้แต่งอยากให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลกับของคุณโค่ เพราะทางผู้แต่งได้อ้างอิงมาแค่พล็อต“หลักๆ”เท่านั้น โปรดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และใช้สะพานข้ามแยกเกษตรในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

**************************************

บทที่ 12 : ไข้ใจ

เข้าหน้าฝนต้นเดือนเจ็ดอากาศยังคงร้อนอบอ้าวไม่มีฝนซักเม็ด ร่างสูงใหญ่ของคุณหลวงอัศวะเดินตากแดดร้อนเปรี้ยงพร้อมเอกสารราชการในมือเข้าไปในสำนักงานใหญ่ที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้เป็นพี่ชายทำงานอยู่โดยที่ไม่มีใครทราบหรือไม่มีการนัดล่วงหน้า

เมื่อเห็นน้องชายยศคุณหลวงของท่านเจ้าพระยาเดินเข้ามา เหล่าข้าราชการชั้นผู้น้อยก็พากันประนมมือไหว้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเยอะแยะจนน่ารำคาญ จะเลียแข้งเลียขาเขาก็ไม่ว่าแต่ต้องไม่ใช่วันที่อากาศร้อนชวนหงุดหงิดแบบนี้

“อัศวะ? มาทำอะไรที่นี่?”บุรุษยศเจ้าพระยาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารจ้องมองน้องชายยศหลวงที่เดินจ้ำอ้าวเข้ามาในห้องทำงานทั้งที่เขายังไม่ทันได้อนุญาต เอกสารซองบางประทับตราครุฑถูกวางไว้บนโต๊ะแทนคำตอบ

“โอยะ… เอกสารสำคัญนี่… ต้องส่งวันนี้เสียด้วย ขอบใจมากอัศวะ”

“ถามจริงเถอะท่านพี่ ท่านเป็นอะไร? เหตุใดช่วงนี้ท่านดูขี้หลงขี้ลืมผิดวิสัย?”

“คนแก่ก็แบบนี้แหละ”เพราะความเคลือบแคลงใจกับคำตอบที่ได้รับ ร่างสูงใหญ่จึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ประจันหน้ากับผู้เป็นพี่ชายตรง ๆ พลางส่งสายตากดดันให้อีกฝ่ายยอมคายความจริงออกมา

“เจ้าอยากรู้ความจริงงั้นหรือ? ”ผู้มีศักดิ์ด้อยกว่าพยักหน้ารับ

“ได้… ช่วงนี้ข้ายุ่งมากอัศวะ ข้าทำงานเช้าจรดเย็นทุกวันจนไม่ได้ไปหาคุณหนูยมลภามาเกือบเดือน”

“แล้ว…”

“ก็ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกเหมือนไม่มีกำลังใจในการทำงาน แค่ไม่ได้พบนางทำให้ข้าว้าวุ่นจนแทบบ้า”ครั้งสุดท้ายที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไปที่เรือนนครไพศาลคือเมื่อช่วงกลางเดือน6ที่ผ่านมา ถ้านับดูแล้วจากตอนนั้นก็ราว ๆ 3สัปดาห์ มิหนำซ้ำครั้งล่าสุดยังไปให้สัญญากับพี่ชายของคุณหนูเอาไว้อีกว่าจะหาเวลามาทานมื้อเย็นด้วยกันอีกครั้ง จนบัดนี้ก็ยังหาเวลาให้ไม่ได้เสียที

ก็ใครจะไปรู้กันเล่าว่ารายงานสำรวจพื้นที่ ๆ ทำร่วมกับเจ้าพระยาจตุวรุณกับเจ้าพระยาอัศตาเมื่อครั้งก่อนจะได้รับการอนุมัติให้ทำเรื่องต่อไวขนาดนี้ ลำบากเขาต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งตรวจรายงานของผู้น้อย ยื่นคำร้อง เซ็นต์รับรองจนไม่ได้พักผ่อน สหายทั้งสองเองก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน

จริง ๆ ถ้าเลิกงานแล้วได้กลับเลยมันก็คงพอมีเวลาอยู่หรอก แต่นี่หลังจากเสร็จงานที่สำนักงาน ทางวังก็ดันตามหาตัวเขาเสียให้วุ่นแทบทุกวันไม่รู้จะเรียกใช้อะไรนักหนา บางวันถึงกับต้องนอนค้างที่สำนักงานลำบากพี่น้องต้องเอาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนมาให้อีก

ภาพชายที่กำลังสติแตกตรงหน้านั้นดูไม่เหมือนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ที่อัศวะรู้จัก เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะกลับบ้านไปเล่าให้พี่น้องที่บ้านฟัง

“ท่านตกหลุมรักนางจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“คงจะเป็นเช่นนั้น”ได้แต่เอ่ยออกมาพลางถอนหายใจ

“อันที่จริงงานท่านก็ดูเหลือไม่เยอะเท่าไหร่แล้วนี่ ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ต้องเสร็จภายในวันนี้แน่”น้องชายต่างมารดากวาดสายตามองเอกสาร2-3ปึกเล็ก ๆ บนโต๊ะก่อนให้กำลังใจพี่ชายของตนที่ตอนนี้สภาพห่อเหี่ยวราวกับพืชพันธุ์ในฤดูแล้ง

“มันก็จริงอยู่…”ดวงตาอันเหนื่อยล้ามองดูเอกสารเหล่านั้น มือแกร่งจับปากกาลูกลื่นเอาไว้แน่น

“งั้นข้าก็จะรีบทำให้เสร็จ จะได้เป็นไทแล้วไปหาคุณหนูยมลภาเสียที”คนฟังกระตุกยิ้มก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เงียบ ๆ

“งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะแล้วเจอกันตอนเย็น… ถ้าท่านกลับมาน่ะนะ…”ประโยคสุดท้ายเจ้าตัวเอ่ยเสียงเบาจนแม้แต่คนหูดีอย่างเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยังไม่ได้ยิน ประตูบานพับเปิดออกและปิดลงพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินออกจากห้องไปไม่รอให้ผู้เป็นพี่ชายได้เอ่ยคำร่ำลา

“แล้วเจอกัน”ได้แต่เอ่ยทิ้งท้ายไปแบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าน้องชายตัวดีคงไม่ได้ยิน

“เฮ้อ…”เจ้าพระยาหนุ่มระบายลมหายใจยาว แผ่นหลังเอนแตะผนักพิงให้ความรู้สึกสบายจนเผลอหลับตาไปชั่วขณะ

แม้สังขารจะเรียกร้องให้พักผ่อนเพียงใด แต่หากเทียบกับความต้องการที่จะพบหน้าคุณหนูยมลภาแล้วถือว่ายังเล็กน้อย คิดได้ดังนั้นจึงกลับขึ้นมานั่งหลังตรงอ่านเอกสารทีละฉบับ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที

 

รอก่อนนะคุณหนูยมลภา…

วันนี้ข้าจะต้องไปหาเจ้าให้ได้!!

 

 

    

เพราะอากาศภายนอกเริ่มชื้นมาตั้งแต่ช่วงบ่าย คุณหนูยมลภาจึงรีบเก็บของวิ่งแจ้นกลับเข้าห้องนอนเสียตั้งแต่เมฆยังไม่ทันจะตั้งเค้าด้วยซ้ำ เธอยอมนั่งโกรกลมร้อน ๆ อยู่ในห้องจนเหงื่อไคลย้อย ยังดีกว่าจะให้ผ้าปักดิ้นทองต้องหมองเพราะโดนความชื้น

เสียงฟ้าร้องกับเมฆที่เริ่มตั้งเค้าทำเอาหญิงสาวเดาไม่ออกว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ เหล่าทาสในเรือนเบี้ยกระวีกระวาดเก็บกระด้งที่ตากเนื้อเค็มและปลาแห้งเข้าที่ร่มก่อนที่ฝนจะเทลงมา ลูกเล็กเด็กแดงเองก็ต่างพากันวิ่งเข้าบ้านเพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง

“ฝนตก!!”เสียงทาสชราตะโกนลั่นเรือนปะปนไปกับเสียงวี๊ดว๊ายของเหล่าทาสสาวและเสียงเม็ดฝนเปาะแปะ ใบหน้างามผินมองหยาดน้ำฝนไหลลงมาตามซอกหลังคาราวกับสายธารผ่านหน้าต่าง พลางครุ่นคิดราวกับว่าลืมอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเหลือบไปเห็นขวดน้ำอบแล้วจึงนึกขึ้นได้…

ขาเพรียววิ่งออกจากห้องทิ้งผ้าปักลงไปกองกับพื้น มือฉวยเอาร่มคันที่ใกล้มือที่สุดวิ่งฝ่าฝนออกไปนอกตัวเรือน

ลูกแก้วสีน้ำทะเลมองหากระด้งใส่ดอกไม้แห้งสำหรับทำบุหงาที่เธอตากไว้ตั้งแต่เช้า ตอนนี้มันไม่อยู่ที่เดิมแล้ว คงจะมีใครเก็บไว้ให้เธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วกระมัง คิดเช่นนั้นจึงหันหลังกลับเข้าตัวเรือนแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาก็พลันได้ยินเสียงประตูรั้วหน้าบ้านเปิดออก

“ท่านเจ้าพระยา!?”หญิงสาวเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาผู้มาเยือนพลางยกร่มในมือให้สูงขึ้นเพื่อกันฝนให้เขา

“ท่านมาทำอะไรป่านนี้?”

“ก็มาหาเจ้านั่นแหละ”

“รีบขึ้นเรือนก่อนเถอะ เดี๋ยวท่านจะเป็นหวัดเอา”มือเล็กออกแรงดันร่างสูงที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนให้ขึ้นไปบนเรือน มืออีกข้างยังถือร่มไว้เหนือศีรษะอย่างยากลำบาก

สองร่างพากันมาหลบฝนอยู่ที่หน้าห้องนอนของคุณหนูยมลภา เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ทรุดนั่งลงกับพื้นเรือน มือลูบปาดน้ำฝนที่เกาะหน้าผากออกจนหมด ประจวบกับที่หญิงสาวยื่นผ้าผืนใหญ่มาให้ตรงหน้าเขาพอดี

“ท่านคิดอะไรอยู่ถึงยอมฝ่าฝนมาหาข้าถึงที่นี่? ไม่ห่วงตัวเองหรือไง?”เธอบ่นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิดทำเอาคนฟังเผลอยิ้มจนหน้าบาน

“ก็ข้าอยากพบเจ้านี่นา ข้าขอโทษที่หายไปไม่บอกไม่กล่าว”

“ข้าไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นเสียหน่อย”ร่างบางเดินไปเปิดตู้หลังใหญ่ควานหาของที่อยู่ข้างใน ก่อนจะนำมันกลับมาให้ชายที่ตัวเปียกปอนหนาวสั่นตรงหน้าเธอ

“เช็ดผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ”เสื้อผ้าชุดอยู่บ้านของพี่ชายคนโตถูกยัดใส่มือท่านเจ้าพระยาไปอย่างลวก ๆ คุณหนูยมลภาทำท่าจะเดินเข้าห้องแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี

“แล้วก็… ถ้าข้างนอกมันหนาวจะเข้ามาหลบฝนในห้องกับข้าก็ได้…”ประตูไม้สักปิดลงปล่อยให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่ออยู่เพียงผู้เดียว

กระดุมทองถูกแกะออกทีละเม็ด เสื้อและโจงกระเบนชุ่มน้ำฝนถูกถอดออกเปลี่ยนเป็นเสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงขายาว ท่านเจ้าพระยาเดินไปหยุดที่หน้าห้องนอนที่ตนเคยเข้าไปก่อความวุ่นวายเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูออกช้า ๆ ไม่ให้เกิดเสียง

แง้มประตูได้เพียงนิดก็มองลอดเข้าไปเห็นหญิงสาวเจ้าของห้องนั่งอยู่บนเตียงหันหลังให้ประตู ผ้าคลุมหน้าและกระโจมอกถูกปลดออกจนเห็นแผ่นหลังขาวเนียนชัดแจ้งแก่สายตาทำเอาคนแอบมองถึงกับตะลึงตาค้างต้องกลืนน้ำลาย

แม้ทิวทัศน์จะดีเพียงใดแต่เพราะความเป็นสุภาพบุรุษมันค้ำคอเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จึงรีบหันหน้าหนีไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว แม้จะยังอยากพิสูจน์รอยแผลเป็นที่หลังตามคำบอกเล่าของสัตยะเมื่อครั้งนั้นอยู่ก็ตาม

รอนานจนแน่ใจว่าคนข้างในเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงตัดสินใจเคาะประตูพลางเอ่ยขออนุญาต

“ข้าเข้าไปนะ”ภายในห้องนอนยังเหมือนเดิม ทั้งเตียง โต๊ะ อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทุกอย่างดูเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาครั้งล่าสุด มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม

“เจ้าเอาลูกไม้ที่ข้าซื้อให้มาทำม่านจริง ๆ ด้วย”ผ้าลูกไม้ราคาแพงที่เขาซื้อมาเป็นของกำนัลให้เธอตอนนี้ถูกเย็บเป็นม่านเตียงหรูหรา ราวกับหลุดมาจากหนังสือของฝรั่ง

“ท่านเป็นคนบอกให้ข้าทำเองนี่”เธอคอบทั้งที่ยังหันหลังให้เขา

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์นั่งลงกับพื้นเรือน มองดูหญิงสาวนั่งทำงานจากด้านหลังพลันภาพตอนที่แอบดูเธอเปลี่ยนเสื้อก็แล่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ จนต้องสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออกไปก่อนจะฟุ้งซ่านเพียงเพราะแผ่นหลังขาวเนียนที่ติดตาแบบเอาไม่ออก

“ผ้าท่านใกล้เสร็จแล้วนะ”ช่างปักผ้ายื่นผลงานของเธอให้คนที่สั่งทำดู พลางเขยิบถอยออกห่างราวกับไม่ไว้ใจ

“งดงามมากทีเดียว”ชายหนุ่มตอบออกมาทันทีทั้งที่ยังไม่ได้พิจารณาลายผ้าอย่างถี่ถ้วน

น้ำฝนหยดลงบนผืนผ้าปัก หญิงสาวเงยหน้ามองหลังคาห้องแต่ก็ไม่พบรูรั่ว แล้วพอมองตามหยดน้ำอีกทีต้นน้ำก็ไม่ได้อยู่ไหนไกล

“ท่านเช็ดผมไม่แห้ง…”

“หืม? อา… เรื่องผมน่ะช่างมันเถอะ”

“ช่างไม่ได้นะ น้ำกับความชื้นมันทำให้ดิ้นทองหมองไม่รู้หรือ?”

“ข้านึกว่าเจ้าเป็นห่วงกลัวข้าจะเป็นหวัดเสียอีก”

“หา!?”พวงแก้มนวลขึ้นสีแดง ใจก็เต้นแรงราวกับกำลังถูกจับได้

“ไม่เป็นห่วงข้าซักนิดเลยหรือ? ถึงข้าเป็นหวัดก็จะไม่เป็นห่วงเลยงั้นหรือ?”ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนระยะหว่างเหลือเพียงแค่คืบ เธอผลักเขาออกก่อนโวยวายกลบเกลื่อน

“ม… ไม่เป็นห่วงเลยซักนิด”ก็ไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบแบบนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าอีกฝ่ายบอกตรง ๆ ว่าเป็นห่วงเขานี่สิที่น่าแปลก

“แต่ว่า…”เธอยังพูดไม่จบ

“แต่ว่าถ้าท่านเป็นหวัดแล้วใครจะจ่ายค่าผ้าล่ะ?”

“ฮะ ๆ ๆ งั้นหรอกหรือ…”ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา อุตส่าห์ลงทุนฝ่าฝนมาหาขนาดนี้บางทีเขาก็อยากได้ยินคำว่า เป็นห่วง สั้น ๆ ออกมาจากปากเธอบ้างนะ แบบที่ออกมาจากปากจริง ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้องใช้ใจมองน่ะ

หยดน้ำจากเรือนฝนสีรัตติกาลหยดซึมเปียกลามไปถึงคอเสื้อไม่ต่างจากไปเดินตากฝนมา ถึงจะรู้สึกเย็นดีแต่มันไม่สบายตัวเอาเสียเลย เช็ดให้แห้งสนิทไปเลยคงจะดีกว่า

“คุณหนูยมลภา”เจ้าของชื่อหันมองตามเสียงเรียก

“ข้าเช็ดผมตัวเองไม่ค่อยถนัด เจ้าเช็ดให้ข้าหน่อยสิ”เอ่ยปากร้องขอพลางยื่นผ้าให้ อีกฝ่ายเองก็รับไปยอมทำตามคำขอโดยง่าย

ครั้งนี้ที่คุณหนูยมลภายอมทำให้ง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าแพ้ลูกอ้อนของท่านเจ้าพระยาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แต่พอเห็นสภาพผมกับคอเสื้อที่เปียกชุ่มไม่ต่างจากเพิ่งไปเดินตากฝนมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ เข้าใจอยู่แล้วแหละว่าพวกผู้ดีต้องทำอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเป็น แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากทำให้เลย…

พูดจริง ๆ นะ… ไม่ได้อยากทำให้เลย…

เธอนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังท่านเจ้าพระยา ก่อนจะเริ่มเช็ดตั้งแต่ข้างบนสุดแล้วค่อย ๆ ไล่ลงมาจนถึงต้นคอเหมือนที่ทำให้ตัวเอง แต่เบามือลงหน่อยและพยายามไม่ยีให้ผมฟูมากเพราะที่เช็ดอยู่นี่ไม่ใช่ผมเธอ

“เจ้ามือเบามาก”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยชมทั้งยังหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

“ไม่ดีหรือ?”

“ดีมากเลยล่ะ”รู้สึกดีจนรู้สึกอยากจะงีบหลับเสียตรงนี้

“ช่วงที่ผ่านมาข้างานยุ่งจนไม่มีเวลามาหาเจ้าเลย ข้าไม่อยากห่างจากเจ้านาน ๆ อีกแล้วคุณหนู”

“…”ช่างทำผมจำเป็นได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ แต่ใจยังคงเต้นรัวไม่ยอมหยุด

“แต่หลังจากนี้คิดว่าทุกอย่างคงเป็นเหมือนเดิมแล้ว ข้าคงมาหาเจ้าได้ทุกวันแล้วล่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้นี่นา”

“ทำไมล่ะ? ไม่อยากพบข้างั้นหรือ?”บุรุษยศเจ้าพระยาหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว แม้ดวงตาคมจะส่งสายตาเว้าวอนแต่กลับให้ความรู้สึกราวกับจะกลืนกิน

“เปล่า… ข้าแค่…”คุณหนูยมลภาหลบสายตาท่าทางกระอักกระอ่วน

“งั้นข้ามาทุกวันเลยนะ”

“…ท่านมันเอาแต่ใจ”

“เฉพาะกับเจ้านั่นแหละ”ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้

อุตส่าห์ได้เจอกันครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ทั้งทีก็อยากจะมองดวงหน้าหวานนั้นให้เต็มตาเสียหน่อย ร่างบางยังคงนั่งก้มหน้าหลบสายตาอยู่อย่างนั้น มือก็อยู่ไม่สุกต้องขยำผ้าในมือไปมาจนยับยู่ยี่ ขืนเป็นแบบนี้เวลาต้องผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แน่ ๆ

“ข้าขอกุมมือเจ้าไว้ซักพักจะได้มั้ย?”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เอ่ยขออย่างสุภาพ

คนถูกขอร้องค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาไม่คิดฉวยโอกาสจับมือเธอทั้งอย่างนั้น ทั้งที่จะทำก็ทำได้ง่าย ๆ แถมยังได้เห็นเธอโวยวายหน้าแดงสมใจเขาอีกต่างหาก

แต่เธอหารู้ไม่ว่าสิ่งที่สุภาพบุรุษตรงหน้าต้องการจริง ๆ นั้นไม่ใช่อากัปกริยาเขินอายอย่างเช่นทุกวัน เขาต้องการความยินยอมพร้อมใจจากเธอ ต้องการให้เธอส่งมือให้เขาด้วยตัวเอง อยากจะให้เกียรติเธอในฐานะนางอันเป็นที่รัก

“…แค่มือนะ”เธอเลื่อนมือข้างหนึ่งไปอยู่ตรงหน้าเขา เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จับมือข้างนั้นเอาไว้ก่อนนำมาแนบข้างแก้มเย็นเฉียบของตัวเอง

“ขออยู่อย่างนี้ซักพักได้มั้ย?”หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ดึงมือกลับ

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ชายหนุ่มไม่ได้มาหาเธอทุกวันเหมือนช่วงแรกที่พบกัน เธอรู้ดีว่างานของเจ้าพระยายุ่งแค่ไหนแล้วนี่เขายังฝ่าฝนมาหาเธออีก รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ยอมตามใจเขาแค่นี้อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่สิ… ถ้าตามใจมากกว่านี้เขาคงจะได้ใจเกินไป

ไม่ไหวเลย… ใจเต้นแรงอย่างกับจะหลุดออกมาจากอกแน่ะ… ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เธอคงจะตายแน่ ๆ ทำไมล่ะ? กับพี่กับสัตยะก็ไม่เคยเป็นนี่นา…

 

หรือว่าเธอจะชอบเขาเข้าแล้ว?

 

ไม่ใช่หรอกน่า!! แค่เพราะไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมาทำดีด้วยมาก่อนก็เลยหวั่นไหวไปเท่านั้นแหละ!! ใจเย็นไว้ยมลภา… เธอไม่ได้ชอบเขา… เธอไม่ได้ชอบเขาหรอก…

เพราะความเหนื่อยล้าท่านเจ้าพระยาจึงเผลองีบหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเธอไว้ที่ข้างแก้มอยู่อย่างนั้น หญิงสาวลอบมองใบหน้ายามหลับใหลของชายหนุ่มตรงหน้า เขาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรไม่เหมือนยามตื่นนอนเลยซักนิด เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าหน้าเขาตอบลงไปมาก คงจะทำงานหนักจนซูบผอมโดยไม่รู้ตัวสินะ…

เสียงฝนค่อย ๆ เบาลงจนเริ่มไม่ได้ยินเสียงเปาะแปะ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องปลุก

“ฝน… หยุดแล้วนะ…”หญิงสาวในผ้าคลุมหน้าเอ่ยเสียงเบา

“ไม่อยากให้หยุดเลย”

“มาเถอะ เดี๋ยวข้าไปส่ง”

ก่อนไปก็ไม่ลืมจะหาโจงกระเบนให้ท่านเจ้าพระยาเปลี่ยนให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกเธอก็อาสาจะซักให้แล้วนัดให้มารับในครั้งต่อไปที่เจอกัน ตอนแรกชายหนุ่มกะจะให้เงินค่าแรงด้วยแต่เธอก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

 

แบบนี้จะเรียกว่าภรรยาได้รึเปล่า?

 

“รับไปซะ เผื่อฝนตกอีก”เธอยื่นร่มให้เขา

“ถ้าข้าบอกว่าข้ายังไม่อยากกลับล่ะ?”

“พรุ่งนี้ท่านก็มาอีกไม่ใช่หรือ?”คนฟังคลี่ยิ้มออกมาท่าทางมีความสุขอย่างปิดไม่มิด

“นั่นสินะ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคุณหนู”ร่างสูงกางร่มแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม คุณหนูยมลภารอจนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เดินไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินเสียงเธอแล้วจึงได้เอ่ยออกมา

“…ข้าจะรอ”

 

 

 

“เป็นอะไรไปแม่มล? ดูไม่สดชื่นเลย”สัตยะทักเพื่อนของตนที่หนีไปนั่งปลีกวิเวกอยู่อีกฟากของเรือน ซ้ำยังทำหน้าเบื่อโลกแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว

“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้แหละ”คำตอบของน้องสาวทำให้พี่ชายทั้งสองต้องนั่งสุมหัวกันลับหลังสัตยะที่นั่งอยู่ไม่ไกล

“หรินะ… ข้าว่าน้องมลของเรากำลังป่วย”ยมบุรชิตพี่ใหญ่เริ่มเปิดประเด็น

“ป่วยใจสินะครับ ท่าทางจะอาการหนักเสียด้วย”หรินะตอบพลางพยักหน้าเห็นด้วย

“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือขอรับ?”บุคคลที่สามโผล่เข้ามาแทรกจนวงสนทนาลับ ๆ รีบแยกตัวแทบไม่ทัน

“อ๊ะ!! ม… ไม่มีอะไรหรอก…”พี่ใหญ่ตอบตะกุกตะกักจนสัตยะเริ่มสงสัย

คราวที่แล้วเขายังไม่ทันได้ล้วงข้อมูลอะไรจากพี่ชายทั้งสองก็ถูกมอมเหล้าหลับไปเสียก่อน จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมเพื่อนของตนจึงดูแปลกไป แล้วพิรุธของทั้งสามคนในวันนี้มันน่าสงสัย ยังไงก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้!!

ทางหรินะที่เอาเอกสารเกี่ยวกับคดีที่ตนรับผิดชอบกลับมาทำที่บ้านก็เนียนทำงานต่อไป แต่มือเขียนข้อความสั้น ๆ ใส่สมุดบันทึกแล้วส่งให้พี่ชาย ความว่า เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ป่วย

“ว้า!! หน้าฝนนี่แย่จังเลยนะครับ!! ”พี่ชายคนรองพูดเสียงดังจนได้ยินไปถึงอีกฟากหนึ่งของเรือนที่น้องสาวนั่งอยู่ พลางสะกิดพี่ชายเป็นทำนองว่ารู้กัน

“นั่นสินะ!! ถ้าลืมพกร่มในช่วงนี้คงต้องตากฝนไม่สบายเป็นแน่!!”พี่ชายก็ตะโกนบ้าง สัตยะที่นั่งอยู่ใกล้กันถึงกับเอามืออุดหูแทบไม่ทัน

“พูดถึงไม่สบาย เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้านผมได้พบท่านหมออิทธิพัทธ์ด้วยล่ะครับ!!”

“แล้วท่านหมอพูดอะไรกับเจ้ารึเปล่า!!”

“ท่านหมอเล่าให้ฟังว่าท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์พี่ชายของท่านล้มป่วยเป็นอาทิตย์แล้ว!!!! จนป่านนี้ยังไม่หายเลยครับ!!”จงใจเน้นที่ว่าเจ้าพระเสี้ยวจันทร์ป่วยให้ดัง ๆ คนที่นั่งอยู่อีกฟากของเรือนจะได้ ๆ ยินชัด ๆ

“นั่นแย่หน่อยนะ ทั้งต้องทำงานหนัก พี่น้องก็ทำงานไม่ว่างมาดูแล ท่านหายช้าคงเพราะไม่ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง!!”เห็นน้องชายเน้นแล้วตนก็ลองเน้นบ้าง ปรากฏว่าได้ผลเพราะน้องสาวคนเล็กลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องไปทันที ไม่ว่าจะเพราะรำคาญหรือเพราะเข้าใจสิ่งที่พี่พยายามจะบอกก็ตามแต่

“อ้าวแม่มล จะไปไหนน่ะ?”สัตยะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถาม

“ข้างนอกอากาศอบอ้าวนัก ข้าจะให้ผ้าปักโดนความชื้นไม่ได้…”แล้วประตูไม้สักบานนั้นก็ปิดลง

“เมื่อกี้ทำอะไรกันน่ะขอรับ?”หันไปถามคนอายุมากกว่าก็ไม่ได้อะไร ทั้งสองเอาแต่ยิ้มแล้วนั่งทำงานของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วแบบนี้ชาติไหนเขาจะรู้เรื่องล่ะเนี่ย!?

 

 

 

“จะเขียนอะไรดีล่ะ…”ปากกาขนนกถูกจิ้มลงบนกระดาษซ้ำไปมาหลายครั้งจนหัวเริ่มทื่อ คนเขียนยังคงลังเลตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเขียนอะไรลงในจดหมายดี

ก็เหมือนกับเมื่อคราวก่อนที่จะเขียนจดหมายตอบกลับตอนที่ท่านเจ้าพระยาทำงานอยู่ที่อยุธยานั่นแหละ ลังเลอยู่แบบนี้สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียที ซากจดหมายที่ถูกขยำทิ้งยังคาอยู่ในลิ้นชักกระมัง แต่คราวนี้จะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้ ยังไงวันนี้ก็ต้องเขียนให้เสร็จแล้วนำไปส่งให้ถึงมือเขา

 

ถึง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

เนื่องจากข้าพเจ้าได้ทราบข่าวจากพี่ชายของข้าพเจ้าว่าท่านกำลังล้มป่วย…

 

“ดูทางการเกินไปรึเปล่านะ…”เธอรำพึงออกมาทั้งที่เพิ่งเขียนจบแค่ประโยคแรก

หลังจากลองเขียนไปหลายแบบก็พบว่าการเขียนจดหมายหาใครซักคนนั้นยากกว่าที่คิด บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่สัตยะไม่เคยส่งจดหมายหาเธอเลยตอนที่เขาอยู่แผ่นดินใหญ่ วันนี้เธอจะเขียนเสร็จมั้ยเนี่ย…

จดหมายแบบทางการก็ดูจะจริงจังเกินไป จดหมายแนวถามไถ่มันก็เหมือนเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ยิ่งจดหมายแนวแสดงความเป็นห่วงเป็นใยยิ่งถูกขยำทิ้งลงถังขยะแทบจะในทันที เธอส่งจดหมายแบบนั้นให้เขาไม่ได้หรอก อ่านไปจะมีแต่ได้ใจเสียเปล่า ๆ

  

หรือบางทีการเป็นตัวของตัวเองอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้…

 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอลากลับก่อนล่ะขอรับ”สัตยะกระพุ่มมือไหว้คนอายุมากกว่าทั้งสองคน สุดสัปดาห์แบบนี้ใคร ๆ เขาก็ได้หยุดกัน มีแต่พ่อค้าอย่างเขาเท่านั้นที่ยังต้องทำงาน ช่างน่าเศร้าเสียจริง

“เดี๋ยวข้าไปส่งเอง!!”เพื่อนสาวโผล่พรวดออกมาจากห้องพร้อมแผ่นกระดาษบางอย่างในมือ

‘ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ ‘ พี่ชายทั้งสองมองหน้าสื่อสารกันในใจเมื่อเห็นกระดาษแผ่นนั้น หนุ่มสาวเดินลงจากเรือนไปแต่สายตาหรินะยังจ้องมองจดหมายฉบับนั้นอยู่ เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เอาไปส่งให้ด้วยตัวเอง แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ

“มีอะไรรึเปล่าแม่มล?”เพราะจับพิรุธได้ตั้งแต่ที่พรวดพราดกลับเข้าห้องไปทั้งแบบนั้น เมื่อได้อยู่กันเพียงลำพังจึงสบโอกาสถามตามตรง

“ข้าอยากให้เจ้าเอาจดหมายไปส่งให้ข้าหน่อย”เธอยื่นจดหมายแผ่นบางกับห่ออะไรซักอย่างทำจากผ้าไหมสีน้ำเงินปักเป็นลายพระจันทร์เสี้ยวให้เพื่อนชายคนสนิท

“หืม? อ่า… ได้สิ ว่าแต่ส่งถึงใคร?”

“ส่งให้ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์”

“หา!? ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจ…”ได้ยินชื่อผู้รับ บุรุษไปรษณีย์จำเป็นถึงกับตะโกนออกมาเสียงดัง

“เบา ๆ สิ!!”มือบางตะครุบปากไว ๆ ของสหายแทบไม่ทัน

“ขอโทษ”

“นั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้ถึงภายในวันนี้ รบกวนเกินไปรึเปล่า”ส่งไปรษณีย์สยามใช้เวลาตั้งสามวัน ฝากสัตยะไปส่งแน่นอนว่าต้องเร็วกว่า

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ข้าคงว่างไปส่งให้ช่วงเย็นนะ”

“ขอบใจมากนะ ไว้จะหาโอกาสตอบแทนทีหลัง”หลังจากไหว้วานธุระเสร็จแล้วหญิงสาวก็เดินกลับขึ้นเรือนไป ทั้งที่สัตยะยังไม่ทันก้าวพ้นรั้วบ้านนครไพศาล

 

สุดท้ายก็เห็นเขาเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์นี่นา!?

  

รอจนตกเย็นสัตยะถึงได้ฤกษ์ไปส่งจดหมายตามคำขอของยมลภาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเสียที รู้สึกคันมืออยากจะแกะจดหมายอ่านชะมัด แต่ทำแบบนั้นมันเสียมารยาทแล้วยังรู้สึกผิดต่อแม่มลอีก เพราะเธออุตส่าห์ไว้ใจให้เขาเอาจดหมายไปส่งเอง

แสงอาทิตย์ยามเย็นมันแยงตาจนเกินไป จดหมายจึงถูกใช้แทนร่มบังแดดชั่วคราว แต่เพราะมันบางมากแสงอาทิตย์จึงทำให้สัตยะเห็นข้อความที่เขียนอยู่ในแบบกลับข้าง ถ้าจะอ่านทั้งอย่างนี้คงไม่เป็นไรมั้ง… ก็บังเอิญเห็นนี่นา…

 

‘หวังว่าจะหายดีแล้วรีบมาดูความคืบหน้าผ้าในเร็ววัน’

 

เนื้อความแบบนี้… แล้วก็พิรุธแบบนั้น… นี่มัน…

   

   

   

“เอาล่ะท่านพี่ ได้เวลาสารภาพความจริงแล้ว…”หมออิทธิพัทธ์นั่งกอดอกปั้นหน้าจริงจังอยู่ข้างเตียงของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้เป็นพี่ชาย

“นี่ก็ผ่านมาตั้ง7วันแล้วทำไมไข้ยังไม่ลด? ท่านแอบไปทำอะไรมา?”

“เปล่าซักหน่อย ข้าก็กินยาตามที่เจ้าสั่งไม่ขาดไม่เกิน”แพทย์หนุ่มรู้ว่าพี่ชายของตนนั้นพูดความจริงเพียงแต่พูดออกมาไม่หมด จึงปั้นหน้าเคร่งขรึมต่อไปกดดันให้คายความจริงออกมา

“…ไม่เอาน่า เจ้าก็รู้ว่างานข้าเยอะ ข้าทิ้งงานไม่ได้”

“แต่ถ้าท่านเชื่อฟังยอมกินยาแล้วพักผ่อนตามที่ข้าสั่งป่านนี้ท่านหายขาดไปนานแล้ว”

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้…”คนป่วยบ่นอุบพลางพลิกตัวหลบหน้าผู้เป็นทั้งหมอและน้องชาย

“ยังไงท่านแก่กว่าข้านะท่านพี่”คนหนุ่มตอบกลับหน้าตาย

“อาการหนักขนาดนี้เห็นทีข้าคงต้องจัดยาเพิ่มอีก”

“รสชาติยาพวกนั้นทำให้ข้าอาการแย่ลง”แค่เห็นยาเม็ดสมัยใหม่พวกนั้นก็รู้สึกจะอาเจียนแล้ว บางตัวที่ผู้เป็นน้องบังคับให้กินนั้นขมกว่ายาสมุนไพรไม่รู้ตั้งกี่เท่า

“นั่นเพราะท่านไม่พักผ่อนต่างหาก อุมานันท์เคยกินยานี่แล้วพักผ่อนหลังจากนั้นก็หายขาดใน2วัน”หมอหนุ่มหยิบเอาซองยาออกมาทีละซองเรียงกันเป็นตับต่อหน้าพี่ชาย ก่อนอธิบายสรรพคุณให้คนป่วยฟัง

“นี่ยาหลังอาหารอย่างละเม็ด มีผลข้างเคียงทำให้ง่วง ท่านจะได้พักผ่อน”

“หากงานยังส่งเสียงเรียกข้า ฤทธิ์ยาคงไม่ช่วยอะไร”

“ขอล่ะท่านพี่ อย่าให้ข้าต้องเอางานเอกสารของท่านไปฝังดินเลย”ไม่รู้จะต่อล้อต่อเถียงอย่างไรถึงจะชนะ​ จึงได้แต่เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน ทิ้งให้คนป่วยได้นอนพักผ่อนตามลำพัง ถ้ายอมนอนล่ะนะ… 

“จริงด้วย คุณหนูยมลภาฝากนี่มาให้”มือแกร่งหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อพร้อมถุงขนาดเล็กลายจันทร์เสี้ยวส่งให้พี่ชาย คนอายุมากกว่ารับเอาไว้ก่อนลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“เจ้าไปพบนางมาหรือ?”คนป่วยถามท่าทางร้อนรน

“เปล่าหรอก เมื่อวานนางฝากสหายที่ชื่อสัตยะมาส่ง เห็นว่าเป็นน้องชายของท่านอัศตาด้วยคิดว่าท่านคงรู้จัก”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์มองจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่านี่จะเป็นจดหมายจากคุณหนูยมลภาจริง ๆ

“ข้าขอตัวก่อน งานยังรอข้าอีกเยอะทีเดียว”หมออิทธิพัทธ์เอ่ยลาสั้น ๆ​ ก่อนปิดประตูออกจากห้องไป​ เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วจดหมายฉบับนั้นจึงถูกแกะอ่านอย่างรวดเร็ว

 

ถึง​ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์

ข้าเพิ่งได้ทราบข่าวจากพี่ชายของข้าว่าท่านป่วย ทั้งช่วงนี้ฟ้าฝนยังพิลึกพิลั่นนัก จนแม้แต่คนหนุ่มยังไข้จับสั่นนับประสาอะไรกับท่าน หวังว่าจะหายดีแล้วรีบมาดูความคืบหน้าผ้าในเร็ววัน เพราะหากท่านไม่มาข้าก็ทำงานต่อไม่ถูก

ปล.พี่ชายข้าเพิ่งได้สมุนไพรหอมอย่างดีมา หากท่านมีอาการหายใจติดขัดมันน่าจะช่วยได้

ยมลภา นครไพศาล

 

จดหมายฉบับแรกที่ได้จากเธอเป็นจดหมายเนื้อความสั้น​ ๆ​ ดูจริงจัง ไม่มีแม้แต่คำว่าเป็นห่วง แต่เหตุใดกลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวแบบนี้นะ? หรือเพราะก่อนหน้านี้ที่เคยส่งจดหมายไป15ฉบับแล้วไม่ได้กลับมา​ พอเธอเขียนหาถึงได้รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก

ถุงสมุนไพรหอมถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถ้วนถี่​ ลายปักจันทร์เสี้ยวที่ประณีตขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือคุณหนูยมลภาแน่ ๆ​ จะเป็​นอะไรมั้ยหากเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอทำพิเศษเพื่อเขาเพียงคนเดียว?

ยาขมที่ท่านเจ้าพระยาเกลียดนักเกลียดหนาถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก หากเธอบอกให้กินเขาก็จะกิน หากเธอบอกให้พักเขาก็จะพัก และหากเธอบอกว่ารอเขาอยู่ เขาก็จะรีบหายป่วยแล้วไปหาเธอ จะไม่ปล่อยให้เธอต้องนั่งเหงาอยู่ตามละพังบนเรือนกว้างเด็ดขาด… 

TBC. 

**************************************

Free Talk:

กลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว!! 

ตอนนี้เขียนยาวมากๆชดเชยที่หายไปนานค่ะ ในที่สุดความสัมพันธ์ของคู่นี้ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ!! (//จุดพลุ) แต่คุณหนูยมลภาก็ดันยังไม่รู้ใจตัวเองซักที(อ้าว…)

ตอนนี้หมอคงจะเซ็งน่าดู เป็นทั้งหมอทั้งน้อง บอกให้ดูแลตัวเองไม่เคยฟัง คุณหนูบอกผ่านจดหมายคำเดียวรีบกินยานอนเฉย (//กุมเฮด) แต่นี่แหละค่ะความรัก หลังจากนี้ก็มาเอาใจช่วยให้คุณหนูยอมรับรักท่านเจ้าพระยากันเถอะค่ะ~ แล้วพบกันใหม่นะคะ~