[One-Short TouRabu Fic]Golden Wish[MikanBa]

[Fic Touken Ranbu] Golden Wish

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbagiri Kunihiro

Rate : PG

Author   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning

1.ดาบทั้งหมดในฮงมารุนี้อ้างอิงตามนิสัยจากดาบในฮงมารุของผู้เขียนโดยตรง หากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

2.ซานิวะฮงมารุนี้”ไม่มีเพศและหน้าตาที่ชัดเจน” แต่บุคลิกอ้างอิงมาจากตัวผู้เขียนอีกเช่นกัน ดังนั้นหากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยอีก ครั้ง

3.คำเรียกแทนตัวของดาบแต่ละเล่มผู้เขียนทำการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับภาษา ไทย+นิสัยในฮงมารุดาบของตัวผู้เขียนเอง หากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อ่าน”บางท่าน”ทางผู้เขียนก็ขออภัยอะเกนแอนด์อะ เกน

**************************************

ยามเช้าท่ามกลางกองหิมะสูงเกือบฟุต เหล่าบุรุษศาตราพากันถือพลั่วมาคนละเล่มตามคำสั่งของผู้เป็นนายที่ว่าให้ขุดหิมะออกจนเห็นทางเดินก่อนถึงเวลาเดินทัพ

สามพี่น้องคุนิฮิโระรับผิดชอบในส่วนของหน้าประตูเรือนต่างก็ช่วยกันกวาดหิมะอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งยามะบุชิเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“นาน ๆ ทีได้ทำงานบ้านร่วมกันก็ดีเหมือนกันนะ”

“นั่นสินะครับ”โฮริคาวะตอบเสียงสดใส

ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระค่อย ๆ เดินปลีกตัวออกห่างจากพี่ชายทั้งสองมาเงียบ ๆ เพราะต้องการอยู่ตามลำพัง แต่ก็ไม่แนบเนียนพอจะทำให้สัญชาตญาณพี่ชายของโฮริคาวะไม่ทำงาน

“ยามัมบะกิริคุง ไม่ใส่ผ้าพันคอแบบนั้นไม่หนาวเหรอครับ?”เสียงเรียกของโฮริคาวะรั้งเขาไว้จนต้องทำใจเดินกลับมาหาพี่น้อง

“ข้ามีผ้าคลุมของข้าอยู่แล้ว…”

“ไม่ได้นะครับ ยามัมบะกิริคุงเป็นดาบเลขาของนายท่าน ถ้าไม่ดูแลตัวเองจะรับใช้นายท่านได้ไม่เต็มที่นะครับ”พูดจบก็ถอดผ้าพันคอของตัวเองมาพันรอบคอน้องชายตัวสูงกว่าโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ร้องขอ

“แล้วเจ้าไม่หนาวหรือ?”

“ใช้ของอาตมาแทนสิ”

“จะดีหรือครับ?”แม้จะถามเช่นนั้นแต่ก็รับผ้าพันคอไหมพรมที่พี่น้องยื่นมาให้เสียแล้ว

“อาตมาฝึกตนอยู่บนภูเขาเป็นประจำทำให้ร่างกายแข็งแรง อากาศหนาวแค่นี้ทำอะไรอาตมาไม่ได้หรอก คั่ก ๆ ๆ”

เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่สามพี่น้องก็จัดการกวาดหิมะจนหมดเห็นเป็นพื้นทางเดินชัดเจน ยามะบุชิเป็นคนอาสาเอาพลั่วไปเก็บทิ้งให้โฮริคาวะและยามัมบะกิริอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“สายป่านนี้แล้วไม่ไปหานายท่านหรือครับ?”

“เอ๊ะ?”ยามัมบะกิริทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าตนนั้นทำหน้าที่ดาบเลขาอยู่

“หรือจะไปหาท่านมิคะสึกิก็ได้นะครับ พวกซังโจคงกวาดหิมะอยู่แถว ๆ ศาลเจ้าหลังเรือนนี่เอง”วากิซาชิผู้พี่เอ่ยดักขึ้นมาอย่างรู้ทัน

“ค… ใครจะไปหาตาแก่นั่นกัน…”เด็กหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีพลางสาวเท้ายาวเดินไปทางห้องของผู้เป็นนายทันที ทิ้งให้ดาบสั้นอายุมากกว่าตนยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว

ดาบทุกเล่มในฮงมารุพากันมารออยู่ที่ลานกว้างเพื่อรับคำสั่งที่ผู้เป็นนายจะสั่งการผ่านดาบเลขาเล่มปัจจุบันดังเช่นทุกวัน แต่รอแล้ว รอเล่า รอจะเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ดาบเลขานามยามัมบะกิริ คุนิฮิโระก็ยังไม่ปรากฏกายเสียที

“เมื่อยแล้วอ่ะ เมื่อไหร่ยามัมบะกิริซังจะมา?”เด็กเล็กอย่างอากิตะบ่นอุบ

“อดทนหน่อยสิ พวกเราเป็นบุรุษศาสตรานะ”มาเอดะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ขาเล็ก ๆ ของตนยังสั่นระริกเพราะความหนาว

“แปลกจัง ปกติเวลาป่านนี้ต้องได้เริ่มทำงานกันแล้วสิ”ดาบตัดเชิงเทียนของดาเตะบ่นพลางลูบคางตัวเอง

เสียงบ่นจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วลานกว้าง ทุกคนล้วนแต่บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมคำสั่งจากนายท่านถึงยังไม่มา เด็ก ๆ ก็พากันบ่นว่าหนาวบ้างจนนามะสึโอะต้องเป็นแกนนำพาน้อง ๆ วิ่งเล่นไล่จับเพื่อคลายหนาวฆ่าเวลา แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกเล่นเมื่อได้ยินเสียงบอกให้หยุดของเฮชิคิริ ฮาเซเบะ

ดูเหมือนว่าดาบเลขาจะรู้ว่าทุกคนกำลังรออยู่ จึงรีบถือใบคำสั่งวิ่ง4×100มาตั้งแต่หน้าห้องนายท่านจนถึงลานกว้างที่ดาบทุกเล่มรวมตัวกันอยู่

“ขอโทษที่มาช้า”ดาบจำลองเอ่ยขอโทษเสียงเบา

“จากนี้จะเป็นการประกาศหน้าที่ประจำวัน”

 

เลี้ยงม้า

อุระชิม่า กับ ชิชิโอ

ทำสวน

ชินาโนะ กับ อัตสึชิ

ซักผ้า

คะเซ็น กับ อิสึมิโนะคามิ

ทำกับข้าว

มิตสึทาดะ กับ โอคุริคาระ

 

“แล้วก็พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงคริสต์มาส นายท่านมอบหมายให้ดาบทุกเล่มที่ไม่มีหน้าที่อะไรมาช่วยกันจัดสถานที่เตรียมงานเลี้ยง เรื่องงบประมาณให้เบิกเอากับฮาเซเบะ”กระเป๋าสตางค์ของผู้เป็นนายถูกโยนส่งต่อให้อดีตดาบรักของโอดะ โนบุนากะดูแล

“ส่วนทัพหลักที่จะออกรบมีมิคะสึกิ และข้าที่เป็นหัวทัพ เอาล่ะ… แยกย้ายได้”ยามัมบะกิริที่เดินหลบฉากไปพร้อมมิคะสึกิเรียกความสนใจจากสายตาดาบทุกเล่มในฮงมารุ

มิดาเระกับจิโร่ทาจิหันไปคุยกันถึงความสัมพันธ์ของดาบทั้งสองเล่มที่ปลีกตัวออกไป ฮาเซเบะที่ทนไม่ไหวที่ดาบทุกเล่มมัวแต่ให้ความสนใจกับเรื่องของคนอื่นจนลืมงานที่นายท่านสั่งจึงตะโกนเสียงดังไล่ทุกคนให้ไปทำงาน

 

สมแล้วที่เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของนายท่าน…

 

“ทัพวันนี้เราจะเดินทางไปที่ไหนกันหรือยามัมบะกิริ? ”ดาบที่งามที่สุดในใต้หล้าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“วันนี้เจ้ากับข้าต้องเดินทางไปยุคปัจจุบัน”

“ยุคปัจจุบัน? หมายถึงยุคของนายท่านงั้นรึ? ทำไมล่ะ?”

“ตอนนี้นายท่านป่วยหนัก ท่านบอกว่าต้องการยาจากในยุคของท่านในการรักษา”ยามัมบะกิริตอบมือเปิดลิ้นชักควานหาเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันที่นายท่านเคยมอบให้เมื่อนานมาแล้ว

“ใช้ยาที่ยะเก็นทำไม่ง่ายกว่าหรือ?”ดาบเก่าแก่ออกความคิด

“จริง ๆ แล้วนายท่านเป็นพวกดื้อยา ถ้าไม่ใช่ยาจากยุคปัจจุบันล่ะก็ไม่ได้ผลหรอก”เพราะเป็นดาบเล่มแรกที่อยู่มานานที่สุด จึงรู้เรื่องของผู้เป็นนายดีกว่าใคร

“แล้วก็เรื่องนี้นายท่านกำชับว่าอย่าให้ฮาเซเบะรู้เด็ดขาด เจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร”คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

ก็แน่ล่ะ ถ้าคนที่เป็นอารุจิลิซึ่ม(โรคติดนายท่าน)อย่างฮาเซเบะรู้เข้าเจ้าตัวต้องแสดงอาการเป็นห่วงจนเวอร์แล้วขอให้นายท่านยกเลิกงานคริสต์มาสเพราะกลัวนายท่านจะป่วยหนักกว่าเดิมแน่ ๆ นายท่านเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเพราะมันจะเป็นการทำลายความฝันของเด็ก ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงถือเป็นความลับสุดยอดห้ามให้เฮชิคิริ ฮาเซเบะรู้เด็ดขาด!!

“เปลี่ยนชุดได้แล้ว เราต้องรีบไป จะได้กลับมาก่อนมื้อเย็น”เด็กหนุ่มหอบเสื้อผ้าของตัวเองทำท่าจะเดินไปเปลี่ยนชุดอีกห้อง แต่กลับถูกชายหนุ่มในชุดคาริงินุรั้งตัวเอาไว้ก่อน

“ยามัมบะกิริ…”ดาบใต้หล้าเอ่ยนามของเขา คนถูกเรียกชื่อถึงกับใบหน้าขึ้นริ้วเป็นสีแดง

.

.

.

“เจ้านี่ใส่ยังไงเหรอ?”

อุจิคาตานะหนุ่มได้แต่มองอีกฝ่ายแล้วลอบถอนหายใจ…

.

.

.

“ตาแก่น่ารำคาญเอ๊ย…”

 

 

 

กว่าจะเปลี่ยนชุดเสร็จก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะมิคะสึกิติดกระดุมเสื้อเชิ้ตผิดรู ใส่กางเกงผิดด้านทำให้ต้องเสียเวลาสอนวิธีใส่อีกประมาณ10กว่านาที

“แล้วทีนี้จะไปยังไงล่ะ? ถ้าใช้เครื่องเดินทางข้ามเวลาที่ลานกว้างจะต้องโดนเห็นแน่ ๆ”อย่างน้อยจะต้องมีคนมาส่งพวกเขา​ แล้วถ้าถูกเห็นพิกัดเวลาจะต้องถูกสงสัยแน่ ๆ​ เมื่อถูกทักขึ้นมา ดาบเลขาเล่มปัจจุบันก็ควักเอาวัตถุสีทองชิ้นเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต

“นายท่านให้นี่มาแล้ว”

“นั่นอะไรน่ะ?”

“เป็นเครื่องมือสำหรับเดินทางไปยุคปัจจุบันโดยเฉพาะ ข้าเคยใช้ประมาณ3-4ครั้งตอนที่ตามนายท่านไปซื้อของในยุคปัจจุบัน”ฝาตลับถูกเปิดออกจนเห็นหน้าปัดนาฬิกาและกลไกข้างใน หน้าตามันก็เหมือนกับเครื่องเดินทางข้ามเวลานั่นแหละ แค่เป็นขนาดย่อส่วนพกพาง่ายเท่านั้นเอง

“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ”ดาบอายุมากกว่าทำท่าตื่นเต้นราวกับเด็ก

ยามัมบะกิริเช็คจนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านมาก่อนปิดประตูลง แล้วดึงสลักข้างตัวเรือนนาฬิกาออก ก่อนจะมีแสงสีทองสว่างวาบแยงตาขึ้นมาเหมือนกับตอนที่เครื่องเดินทางข้ามเวลาทำงานไม่มีผิด

ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็เดินทางมาโผล่ในยุคปัจจุบันปี2016เวลากลางคืน มิคะสึกิมีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากการเดินทางเมื่อครู่จึงเซไปโดนยามัมบะกิริจนอีกฝ่ายต้องพยุงเขาเอาไว้ไม่ให้ล้ม

“ที่นี่… ศาลเจ้างั้นเหรอ?” ดาบจันทร์เสี้ยวค่อย ๆ ปรับโฟกัสดวงตาช้า ๆ จนเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าตน เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันยังพยุงเขาเอาไว้ไม่ห่างไปไหน

“ไปกันเถอะ”เมื่อคนอายุมากกว่ายืนด้วยขาของตัวเองได้แล้วเขาจึงปล่อยมือแล้วเดินนำหน้าออกจากศาลเจ้าไป

“ยามัมบะกิริ”เดินไปได้ซักพักมิคะสึกิร้องเรียกขึ้นมา

“หืม?”

“ข้ามองไม่เห็นทาง ขอจับมือหน่อยสิ”เวลากลางคืนนั้นไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางของดาบยาว นั่นคงทำให้เขามองไม่ค่อยเห็นทาง

“หา? ทั้งที่ไฟสว่างขนาดนี้เนี่ยนะ??”คนถูกขอร้องโวยวาย แก้มขาวเนียนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเหมือนหญิงสาวยามเขินอาย

“ก็ข้าแก่แล้ว สายตาก็ฝ้าฟาง เจ้ายังหนุ่มยังแน่นถือว่าสงเคราะห์คนแก่เถอะ”

“แต่… แต่กายเนื้อท่านมันไม่แก่นี่!! คนทั่วไปจะมองยังไงถ้าเห็นผู้ชายเดินจับมือกัน??”

“เป็นคนรักกันก็จับมือกันไม่ได้เหรอ?”คนฟังถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำว่า คนรัก

“ข้านึกว่าพวกคนสมัยใหม่จะเปิดกว้างกว่านี้เสียอีก น่าเสียดายจังนะ…”มิคะสึกิบ่นแสดงความน้อยใจ เด็กหนุ่มคนรักพยายามข่มอารมณ์เขินอายเอาไว้โดยแสดงออกมาในรูปของอารมณโกรธแทน

“มันช่วยไม่ได้นี่ รีบไปกันได้แล้ว!!”

จริง ๆ แล้วแม้ดาบยาวจะไม่เหมาะแก่การรบยามค่ำคืน แต่เมื่อมาอยู่ในยุคปัจจุบันที่ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน ทั้งรอบกายยังเต็มไปด้วยแสงสีสว่างไสว ทำให้ทาจิหนุ่มไม่ได้รู้สึกลำบากเท่าไหร่นักเวลาเดินเท้า ที่เอ่ยปากออกไปก็เพียงต้องการเข้าใกล้คนรักของตนบ้างเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่เล่นด้วยเลย น่าเสียดายชะมัด

สองร่างเดินออกจากศาลเจ้าข้ามสะพานมาหยุดอยู่ตรงหน้าสถานที่แปลกประหลาดที่มิคะสึกิไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ยามัมบะกิริยื่นแผ่นป้ายบางอย่างขนาดเท่าอุ้งมือมาให้ เขาจับมันพลิกหน้าพลิกหลังดูทันทีว่ามันคืออะไร

“ใช้สิ่งนี้แตะกับเจ้าเครื่องนั่น พอประตูเปิดท่านก็เดินเข้าไปข้างใน”ยามัมบะกิริชี้ไปที่เครื่องมือประหลาดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

“เข้าไปทำไม?”คนแก่ถามด้วยความสงสัย

“ในยุคนี้ผู้คนเดินทางโดยยานพาหนะที่เรียกว่ารถไฟ ท่านต้องมีสิ่งนี้ถึงจะสามารถขึ้นรถไฟได้”

“อย่างนี้นี่เอง เรียกอีกอย่างก็คือใบผ่านทางสินะ”

“ประมาณนั้น”เด็กหนุ่มตอบเรียบ ๆ พลางแตะบัตรกับเครื่องให้ดูเป็นตัวอย่างและเดินเข้าไปรออยู่ข้างใน

ดาบยาวจากยุคเฮอันได้แต่เป็นฝ่ายเดินตามต้อย ๆ เพราะไม่เคยมาเที่ยวยุคปัจจุบันมาก่อน เมื่อเห็นอุจิคาตานะร่างเล็กกว่านำทางได้อย่างคล่องแคล่วแม้จะมีทางแยกซับซ้อนเพียงใดก็อดทึ่งไม่ได้

“เจ้ารู้เหรอว่าไปทางไหน?”

“ก็บอกแล้วว่านายท่านเคยพาข้ามา ข้าเองก็พอจะจำทางได้อยู่”

เดินซ่อกแซ่กได้ซักพักก็ถึงชานชาลาที่ตามหาเสียที ผู้คนยืนต่อแถวรอขึ้นรถไฟกันเต็มไปหมดเพราะหนึ่งทุ่มของที่นี่เป็นเวลาเลิกงาน และเป็นเวลาเที่ยวของหนุ่มสาววัยรุ่น

“นอกจากยาแล้วนายท่านสั่งให้ซื้ออะไรอีกงั้นเหรอ?”คนถูกถามไม่ตอบ แต่กลับยื่นใบรายการซื้อของให้ดูแทน

 

รายการซื้อของ

1.ยาแก้ปวดยี่ห้อEVE

2.เค้กช็อคโกแล็ตลาวา

3.ชีสทาร์ต

4.พายหน้าผลไม้รวม

5.สตรอว์เบอร์รี่ช็อตเค้ก

6.ชูครีม

7.แยมโรลผลไม้

8.ของที่ท่านมิคะสึกิอยากได้

9.ของที่ท่านยามัมบะกิริอยากได้

–ซานิวะ–

 

ดูจากรายการของที่ให้ซื้อถ้าขนมพวกนี้ไม่ได้ซื้อไว้สำหรับงานเลี้ยงคริสต์มาส ก็ต้องแปลว่านายท่านของพวกเขาเป็นพวกติดของหวานมากแน่ ๆ แต่สองอย่างสุดท้ายนั่นมัน…

“ของที่ข้าอยากได้กับของที่เจ้าอยากได้นี่…”

“ช่างมันก่อนเถอะ รีบไปซื้อของที่นายท่านสั่งก่อน ท่านอยากได้อะไรก็บอกข้าแล้วกัน”เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา ผู้คนก็ต่างพากันเดินเรียงแถวขึ้นรถไฟอย่างเป็นระเบียบ แต่เพราะจำนวนคนมหาศาลทำให้รถไฟไม่สามารถรับคนได้หมดในเที่ยวเดียว แถมยามัมบะกิริยังต้องยืนเบียดกับมิคะสึกิเป็นปลากระป๋องบนรถไฟอีก

 

แบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเลย ให้ตายสิ…

 

แสงสีในยุคปัจจุบันช่างเจิดจ้า ไม่ว่าจะอะไรก็ดูแปลกใหม่สำหรับดาบเก่าแก่อายุนับพันปีอย่างมิคาสึกิ มุเนจิกะไปหมด ทุก5นาทีเขาต้องสะกิดยามัมกิริเพื่อถามว่า’นั่นอะไรเหรอ?’แล้วชี้ให้ดู คนตอบก็ตอบ ๆ ๆ จนแทบจะเบื่อตายอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้รู้ไปเสียทุกอย่างหรอก

ลิสต์รายการสั่งซื้อจากซานิวะทยอยถูกขีดฆ่าไปทีละอย่าง เริ่มจากของจำเป็นอย่างยา ตามด้วยร้านชีสทาร์ตที่อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก แล้วก็แยมโรลกับชูครีมที่สามารถซื้อได้จากร้านเดียวกัน ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินตามหาร้านเค้ก…

“ยามัมบะกิริ นี่คืออะไรเหรอ?”มิคะสึกิใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่ตู้สี่เหลี่ยมที่ตั้งเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว

“ตู้ปุริคุระ นายท่านบอกว่าเป็นตู้ที่ถ่ายรูปได้”ฟังคำตอบแล้วดาบอายุมากกว่าก็ยืนช่างใจอยู่ซักพักหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา

“ข้าอยากได้รูปล่ะ”เขาบอกกับคนที่มีหน้าที่ถือกระเป๋าสตางค์

“งั้นเข้าไปสิ เดี๋ยวข้าหยอดเหรียญให้แล้วจะรอข้างนอก”

“แต่ข้าใช้ไม่เป็นนี่ เจ้าเข้ามาสอนข้าหน่อยสิ”

“ให้ตายสิตาแก่นี่…”ยามัมบะกิริหยอดเหรียญไป500เยนก่อนเดินเข้าตู้ถ่ายรูปไปกับตาแก่ที่วอแวอยากได้สติกเกอร์รูปถ่ายอย่างกับเด็กวัยรุ่น

 

แล้วถามว่าทำไมเขาถึงรู้จักตู้นี้ดีนัก? ก็บอกได้แค่ว่านายท่านสอนให้ที่โตเกียว…

 

ภายในตู้มีเสื้อผ้าแฟนซีให้เลือกเปลี่ยนกับเครื่องสำอางค์ให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบ แต่เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายแถมการจะใช้ต้องหยอดเงินเพิ่มไปด้วย จึงได้แต่มองข้ามของเหล่านั้นไปแล้วรีบถ่ายรูปให้เสร็จ ๆ

“กล้องอยู่ตรงนี้​ นั่งนิ่ง ๆ ทำหน้าให้มันดี ๆ เดี๋ยวข้าถ่ายให้”

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถ่ายด้วยกันสิ”ดาบใต้หล้าเอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มที่ยืนค้ำหัวเขาอย่างไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่

“หา!?”เจ้าตัวร้องเสียงหลง

“นายท่านบอกให้ซื้อสิ่งที่ข้าอยากได้ แล้วข้าแค่อยากได้รูปถ่ายคู่กับคนรักของข้าก็เท่านั้นเอง”เอาอีกแล้ว… มิคะสึกิพูดว่าคนรักอีกแล้ว… ตัวเขาก็บ้าจี้จริง ๆ ที่ไปใจเต้นให้กับคำ ๆ นี้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ยมันออกมา

“…ท่านมันตาแก่เฮงซวย”ได้แต่บ่น แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงข้าง ๆ กัน

“แล้วเจ้าก็เป็นคนรักของตาแก่เฮงซวยคนนี้ยังไงล่ะ”ยามัมบะกิริพยายามทำหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดของมิคะสึกิแล้วเลือกเมนูถ่ายรูปต่อไป

ตู้ถ่ายรูปนี้จะมีเมนูหนึ่งให้เลือกว่าถ่ายเดียว ถ่ายคู่เพื่อนหรือถ่ายคู่แฟน แน่นอนว่าคนที่ทำเป็นเลือกเมนูถ่ายคู่เพื่อนอย่างรวดเร็ว คนที่นั่งมองอยู่ก็อยากจะทักอยู่หรอก แต่พอเห็นใบหูแดง ๆ นั่นก็ได้แต่ยิ้มแล้วคิดว่าไม่ถามดีกว่า

“เอ้า ยิ้ม…”เด็กหนุ่มสั่ง

แชะ!!

รูปสี่ช็อตที่ทั้งคู่ถ่ายปรากฏอยู่เต็มหน้าจอ มีทั้งรูปปกติ รูปตอนที่เขาแอบมองหน้ายามัมบะกิริ รูปตอนที่ไปหอมแก้มยามัมบะกิริ แล้วก็รูปที่ยามัมบะกิริโวยวายผลักเข้าออกจากเฟรมจนรูปเบลอ…

ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่เสียเวลาที่สุด… ขั้นตอนการแต่งรูป…

“โห… มีเครื่องประดับให้ใส่เยอะแยะเลย”

“เขาเรียกว่าสติกเกอร์มั้ยล่ะ…”เด็กหนุ่มแก้ให้เป็นคำทับศัพท์ทันสมัย แน่นอนว่าคำพวกนี้นายท่านก็สอนให้ที่โตเกียวเช่นกัน

มิคะสึกิจิ้ม ๆ ลบ ๆ สติกเกอร์อยู่นานจนทั้งรูปมีแต่สติกเกอร์ล้นเฟรม คนนั่งมองได้แต่กุมขมับอยากจะแย่งปากกาแต่งรูปมาใช้แทน

“นี่ท่านแต่งรูปเป็นมั้ยเนี่ย?”ดาบจำลองเอ่ยถาม

“ไม่เป็นหรอก”นั่นไง…

“เอามานี่เลย ข้าแต่งเอง”ปากกาแต่งรูปถูกแย่งไปจากมือดาบใต้หล้า ใครจะคิดเล่าว่านอกจากจะแต่งตัวไม่เป็นแล้วเซนส์การแต่งรูปยังจะแย่อีก

สติกเกอร์ที่มิคะสึกิใส่ลงไปถูกลบออกจนหมด ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระใช้ทักษะที่แต่งรูปที่นายท่านสอนให้ที่โตเกียว(อีกแล้ว)ให้เป็นประโยชน์ ทั้งดาว ทั้งสายรุ้ง ทั้งดอกไม้ถูกแปะไว้ในที่ ๆ มันควรจะอยู่ สุดท้ายคือสติกเกอร์ประจำเทศกาลอย่างMerry Christmas

“ยามัมบะกิริ ใส่นี่เข้าไปด้วยสิ”มิคะสึกิชี้ไปที่สติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงกับชมพูหวานแหวว

“ค… แค่นี้ก็ไม่มีที่ให้ใส่แล้ว!?”คนฟังมองสติกเกอร์แล้วถึงกับขมวดคิ้วกดปริ้นรูปแทบไม่ทัน

“ไม่เห็นต้องรีบพิมพ์รูปขนาดนั้นเลย”

“ไม่รีบได้ยังไงล่ะ ท่านอย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้ซื้อเค้กให้นายท่านเลยนะ”

หลังจากได้สติกเกอร์ร่างสูงดูจะเห่อเอามาก ๆ ถึงกับหยิบมาดูตลอดทางไม่ยอมเก็บเข้ากระเป๋าเสียที มืออีกข้างก็ถือถุงยา ชูครีม ชีสทาร์ต แยมโรลแกว่งไปแกว่งมา นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมยามัมบะกิริต้องถือกล่องเค้กด้วยตัวเอง

“นี่เป็นรูปคู่รูปแรกของเจ้ากับข้าเลยนะ”มือแกร่งในถุงมือหนังสีดำยื่นรูปถ่ายให้เด็กหนุ่มดู เขาได้แต่เบือนหน้าหนีแล้วทำเฉไฉ

“เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ ถ้าหายข้าไม่พามาถ่ายใหม่นะ”

“จะเก็บรักษาเท่าชีวิตเลยล่ะ”แล้วรูปสี่ช็อตใบนั้นก็ถูกเก็บลงกระเป๋าเสื้อโค้ทไป

“เอาล่ะ ได้เวลากลับแล้ว…”ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟ เจ้าของเรือนผมสีทองหยิบเอาICการ์ดออกมาจากแจ็คเก็ตทำท่าจะเดินเข้าสถานี แต่ก็ถูกคนที่มาด้วยกันทักท้วงบางอย่าง

“เดี๋ยวก่อน แล้วของที่เจ้าอยากได้ล่ะ?”อุจิคาตานะหนุ่มเหมือนจะเพิ่งนึกถึงลิสต์ข้อสุดท้ายได้ แต่อันที่จริงถึงนึกได้เขาก็ไม่ได้อยากได้อะไรอยู่ดี

“ของพรรค์นั้นน่ะไม่มีหรอก รีบกลับกันดีกว่า”

“ถ้าไม่มีก็เดินหาสิ อุตส่าห์ได้มาทั้งที อาจจะเจอของที่เจ้าอยากได้ก็ได้”คนแก่ยังคงรบเร้าไม่เลิก จนเริ่มสงสัยว่าเขาอาจจะยังไม่อยากกลับฮงมารุ

“แต่ถ้าเดินจนรอบแล้วไม่มีจริง ๆ ถึงตอนนั้นค่อยกลับก็ได้”ทำการยื่นหมูยื่นแมวเพื่อให้อีกฝ่ายยอมง่ายขึ้น นี่เพิ่งจะสองทุ่มกว่ายังเดินไม่ทั่วเลยด้วยซ้ำ

“…แค่ชั่วโมงเดียวนะ”สุดท้ายเขาก็ยอมตามใจมิคะสึกิอีกตามเคย

“ต้องแบบนี้สิ”

จริง ๆ ไม่ใช่เพราะอยากจะเดินหาของที่ตนอยากได้อยู่หรอก แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มิคะสึกิได้มาโตเกียวยุคปัจจุบัน อยากจะให้อีกฝ่ายได้สนุกเต็มที่ให้นานที่สุดก็เท่านั้นเอง นายท่านก็เคยบอกไว้ว่ารถไฟหมดตั้งเที่ยงคืน

 

จะว่าไปตัวเขาเองก็เพิ่งเคยมากับมิคะสึกิครั้งแรกเหมือนกันนี่นะ…

 

เดินกันจนเกือบชั่วโมงขาแข้งก็เริ่มจะชา มิคะสึกิยืนพิงพนังหลบมุมพักขามองไปทางเด็กหนุ่มผมทองที่ดูไม่ได้ตั้งใจกับการหาซื้อของซักเท่าไหร่ มีแต่เขานี่แหละที่ได้ตุ๊กตาจากตู้คีบมาตั้งเยอะแยะ กะว่าจะเอาไปแจกเด็ก ๆ เป็นการขอบคุณที่ดูแลคนแก่อย่างเขามาตลอดปี

“ไม่มีของที่อยากได้จริง ๆ เหรอ?”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ”ท่าทางไม่กระตือรือร้นแบบนั้นทำให้มิคะสึกิหมดความอดทน เขาพยายามเข้าหายามัมบะกิริมาตลอดการเดินทาง พยายามทำให้รู้สึกสนุก แต่ยามัมบะกิริทำเหมือนว่าการกระทำของเขามันช่างไร้ค่าเหลือเกิน

“เป็นอะไรไปมิคะสึกิ?”มองสีหน้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามิคะสึกิกำลังโกรธ ถึงอย่างนั้นก็ยังจะถามออกไป

“เจ้าสนุกอยู่รึเปล่า?”ร่างสูงถามอีกฝ่ายตรง ๆ

“เอ๊ะ?”

“ข้าถามว่าเจ้าสนุกอยู่รึเปล่า?”เขาถามซ้ำอีกครั้ง

เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่น คนอายุมากกว่าตัดสินใจสงบสติตัวเองลง เขาส่งถุงยาและขนมของนายท่านให้คนตรงหน้าถือก่อนเดินออกจากตรงนั้นไป

“จะไปตู้กดน้ำ รออยู่ตรงนี้นะ”บอกทิ้งท้ายเอาไว้ ยามัมบะกิริจะได้ไม่ตามเขามา

ดาบเลขาทรุดนั่งลงข้างทางนึกย้อนถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขารู้ว่ามิคะสึกิโกรธเพราะอะไร เพราะเขาไม่กระตือรือร้น เพราะเขาไม่เคยแสดงออกว่าชอบมิคะสึกิออกมาตรง ๆ เลย ทั้งปฏิเสธไม่ยอมให้จับมือแล้วยังมาเดินเที่ยวด้วยสีหน้าเบื่อโลกอีก เขามันเป็นคนรักที่แย่ที่สุด…

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบมิคะสึกิซักหน่อย ถ้าไม่ชอบคงไม่ยอมตามใจถึงขนาดนี้หรอก ที่ไม่ยอมจับมือในครั้งนี้แค่เพราะว่าอายเท่านั้นเอง จะว่าผิดมันก็ผิด แต่จะว่าไม่ผิดมันก็ไม่ผิดนะ

ใบรายการซื้อของถูกหยิบมาอ่านอีกครั้ง มีเพียงข้อ9.ของที่เขาอยากได้เท่านั้นที่ยังไม่ถูกขีดออก จนตอนนี้เขาไม่อยากได้อะไรแล้ว แค่อยากให้มิคะสึกิไม่โกรธเขาเท่านั้น และไม่รู้อะไรมาดลใจให้เขาพลิกไปหน้าหลัง ทำให้พบกับข้อความที่ท่านซานิวะเขียนถึงเขาสั้น ๆ

 

ช่วงนี้ข้าเห็นท่านกับมิคะสึกิดูห่างเหินกันไปหน่อยเลยใช้โอกาสที่ตัวข้าเป็นหวัดให้พวกท่านได้ไปเที่ยวกันสองคน ถ้าเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องก็ต้องขออภัยด้วย แต่เชื่อเถอะว่าข้าหวังดีกับท่านจริง ๆ

ปล.คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุข ขอให้ท่านสนุกกับมันให้เต็มที่นะ

–ซานิวะ–

 

นายท่านของเขาเป็นคนที่มีเหตุผลเสมอแม้กับเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ เขาน่าจะพลิกอ่านด้านหลังให้เร็วกว่านี้ จะได้ไม่เผลอทำตัวเบื่อโลกจนมิคะสึกิโกรธแบบนี้

“รอนานรึเปล่า?”ร่างสูงกลับมาพร้อมกับลาเต้และซุปข้าวโพดดูท่าทางจะกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้ว

“ข้าเห็นเจ้าไม่ชอบดื่มกาแฟเลยเลือกเป็นซุปข้าวโพดอุ่น ๆ มาให้”

“ขอบใจนะ…”แม้จะโกรธกันแต่สุดท้ายมิคะสึกิก็ยังใส่ใจเขา ๆ ไม่เคยบอกเรื่องที่ว่าไม่ชอบดื่มกาแฟให้ฟังซักครั้ง มิคะสึกิคงสังเกตเอาจากพฤติกรรมเวลาอยู่ด้วยกันสินะ

ดวงตาสีน้ำทะเลเหลือบไปเห็นใบปลิวแผ่นเล็กที่ได้มาจากร้านขายเค้ก เป็นใบปลิวโปรโมชั่นแหวนคู่รักลดราคาฉลองคริสต์มาส วงนึงสีเงินวงนึงสีทองประดับเพชรเม็ดเล็ก ๆ ดูเรียบหรูเหมาะกับมิคะสึกิ มือเย็นเฉียบหยิบมันออกมาจากถุงเค้กแล้วมองหน้าคนที่มาด้วยกัน

“มิคะสึกิ”

“หืม?”

“ข้าว่าข้าเจอของที่อยากได้แล้วล่ะ… ”

พูดจบยามัมบะกิริก็เดินตามแผนที่จิ๋วที่อยู่มูมล่างสุดของใบปลิวมาเรื่อย ๆ ดาบยาวก็ยังเป็นดาบยาว มิคะสึกิเดินรั้งท้ายหอบแฮ่กถือยา ขนมและตุ๊กตาเต็มสองมือ

“เดินเร็ว ๆ เข้าสิเดี๋ยวร้านก็ปิดหรอก”ว่าแล้วก็จับข้อมือของร่างสูงเอาไว้ให้เดินไปด้วยกัน

“ฮะ ๆ ๆ เข้าใจแล้ว ๆ”คนถูกจับข้อมือยิ้มและหัวเราะอย่างเป็นสุข

ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงร้านจิวเวอรี่ที่ตามหา ป้ายหน้าร้านเขียนบอกเอาไว้ว่าปิดทำการเวลาสี่ทุ่มตรง เท่ากับว่าพวกเขามีเวลาเลือกแหวนตั้ง45นาที

“ยินดีต้อนรับค่ะ”พนักงานหญิงในชุดสูทกระโปรงทรงเอออกมาต้อนรับอย่างสุภาพ

“คุณลูกค้ากำลังหาอะไรอยู่คะ?”

“เอ่อ… แบบนี้ยังมีอยู่มั้ยครับ?”เธอรับใบปลิวที่ลูกค้ายื่นให้มาดูก่อนยิ้มออกมา

“สร้อยแหวนคู่ใช่มั้ยคะ? เชิญทางนี้เลยค่ะ”ทั้งสองเดินตามพนักงานหญิงไปที่โซฟารับแขก เธอเชิญให้พวกเขานั่งก่อนเดินไปหยิบกล่องแหวนสีแหวนสีแดงสดกล่องใหญ่ออกมาจากเคาน์เตอร์

“คุณลูกค้าเลือกไซส์แหวนได้เลยค่ะ”กล่องถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนเงินเรียบ ๆ หลายสิบวง เป็นแหวนสำหรับวัดขนาดนิ้วของผู้สวมใส่โดยเฉพาะ ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเริ่มลองที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองก่อน

“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยากได้ของแบบนี้”มิคะสึกิแซว

“เงียบน่า… ส่งมือมาสิ”ทาจิหนุ่มส่งมือซ้ายให้ก่อนที่อุจิคาตานะตรงหน้าจะเริ่มสวมแหวนให้เขาทีละวง

นิ้วมือคนเรามีทั้งหมดห้านิ้ว ยามัมบะกิริจะเลือกใส่นิ้วไหนให้เขาก็ได้ แต่กลับเลือกเฉพาะเจาะจงที่นิ้วนางแถมยังเป็นข้างซ้าย ไม่รู้ว่าจงใจรึเปล่าแต่นี่ทำให้เขาได้เห็นการแสดงออกทางความรักของยามัมบะกิริที่ได้เห็นไม่บ่อยนัก

เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามิคาสึกิใส่แหวนไซส์ใหญ่กว่าเขาเพียงสองไซส์เท่านั้น ดาบเลขากรอกไซส์แหวนลงไปในแบบฟอร์มก่อนส่งให้พนักงานที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลังพวกเขา

“รอรับสินค้าซักครู่นะคะ”แล้วเธอก็หายไปหลังร้านทิ้งให้บุรุษศาสตราทั้งสองอยู่กันตามลำพัง พร้อมการ์ดหน้าร้านอีกหนึ่งคน…

ทั้งคู่ได้แต่นั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา ยามัมบะกิริยังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษมิคะสึกิซักคำทั้งที่สำนึกว่าตนเป็นฝ่ายผิด เหมือนคำขอโทษมันจุกอยู่ที่ลำคอไม่ยอมออกมา

จนเมื่อพนักงานหญิงคนเดิมเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมถุงกระดาษสีกรมท่าและใบเสร็จ คนดูแลกระเป๋าตังค์ควักเงินจ่ายก่อนเดินออกจากร้านไปพร้อมกับผู้ติดตาม

“เอาล่ะ ทีนี้คงต้องกลับกันจริง ๆ ซักที”ตอนนี้สามทุ่มสี่สิบห้า แม้รถไฟจะยังไม่หมดแต่เงินของนายท่านนั้นจะหมดแล้ว

“หืม?”แสงไฟสีขาวทองสว่างเจิดจ้าตรงหน้าทั้งคู่ ดึงดูดให้ผู้คนแวะไปถ่ายรูปเก็บความทรงจำก่อนกลับ

“อุโมงค์ต้นไม้แบบนี้สวยดีเนอะ”ดาบอายุนับพันปีเอ่ยออกมาเมื่อได้เห็นภาพประทับใจตรงหน้า

“มิคะสึกิ”ยามัมบะกิริเรียกชื่อเขา

“ว่าไง?”

“หันหลังมาหน่อย”คนถูกขอร้องยอมหันหลังโดยง่าย

สร้อยแหวนคู่ที่เพิ่งซื้อมาถูกนำมาคล้องรอบคอของดาบใต้หล้า ความเย็นจากสายสร้อยทองคำขาวบอกเขาแบบนั้น และเมื่อยามัมบะกิริสวมสร้อยให้มิคะสึกิและตนเองเรียบร้อยจึงจับไหล่อีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้ากัน

“นายท่านบอกว่าคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุข นายท่านเองก็อยากให้ข้ามีความสุขด้วย”

“แน่อยู่แล้ว ก็เจ้าเป็นดาบเล่มโปรดของนายท่านนี่นา”

“แต่ว่า… ตัวข้าก็อยากทำให้ท่านมีความสุขเหมือนกันนะ”มือเย็นเฉียบกำสร้อยแหวนเงินที่ตนใส่อยู่เพื่อดับความตื่นเต้นราวกับว่ามันเป็นเครื่องราง สมองค่อย ๆ เรียบเรียงประโยคออกมาช้า ๆ แล้วพูดออกมาให้อีกฝ่ายได้ฟังความรู้สึกจากใจเขาชัด ๆ

“ข้าขอโทษที่ไม่เคยบอก ที่ผ่านมาท่านเอาแต่แกล้งข้า ปั่นหัวข้าจนข้าหงุดหงิด แต่ไม่รู้ทำไมในความหงุดหงิดข้ากลับรู้สึกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก”ตอนนี้ยามัมบะกิริรู้สึกเหมือนมีเสียงวิ้ง ๆ ดังอื้ออึงอยู่ในหูจนไม่ได้ยินในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป ยังไงก็อยากให้รู้ว่าเขารู้สึกต่อมิคะสึกิอย่างไร

“ข้ามีความสุขมากนะเวลาที่อยู่กับท่าน เพราะงั้น… วันนี้เลยอยากตอบแทนท่านที่คอยมอบความสุขให้ข้ามาตลอดบ้าง แต่… สุดท้ายข้าก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ท่านทำให้ข้า…”

“ขอบคุณนะ ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ”มือใหญ่วางบนศีรษะของเขา สัมผัสเพียงแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจนถึงหัวใจ

“แค่เจ้าบอกว่าอยากทำให้ข้ามีความสุข แค่นี้ข้าก็มีความสุขที่สุดแล้วล่ะ”

ของที่ซื้อมาถูกวางไว้ข้างตัว ร่างสูงดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเขาโดยไม่สนสายตาใคร เรียวปากคมจรดอยู่ตรงหน้าผากมนพอดีโดยไม่ต้องย่อให้ต่ำหรือเขย่งให้สูงกว่านี้ เป็นความพอดีที่ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรให้มากมาย

“กลับกันเถอะ นายท่านรอยากับขนมอยู่นะ”

“น… นั่นสินะ… ลืมไปเลย…”สองร่างผละออกจากกัน ถุงขนมที่วางอยู่บนพื้นลอยขึ้นเตรียมตัวเดินทางข้ามเวลากลับไปกับพวกเขา เด็กหนุ่มสวมฮู้ดรวมเค้กและกล่องแหวนไว้ในถุงเดียวแล้วยื่นมือข้างที่ว่างให้มิคะสึกิ

“หืม?”

“มือ… มองทางตอนกลางคืนไม่เห็นไม่ใช่รึไง”เขาพูดอ้อมแอ้มหลบสายตา แต่ปิดบังความเขินอายไม่มิด

“ตกลงพวกคนรุ่นใหม่เขาไม่ถือเรื่องที่เป็นผู้ชายด้วยกันใช่มั้ย?”

“ช่างพวกนั้นเถอะน่า… อ๊ะ!?”มิคะสึกิถอดถุงมือหนังของตนออกก่อนจับมือยามัมบะกิริซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทอุ่น ๆ ของตน นิ้วมือทั้งห้าสอดประสานกันแบบคนรักอย่างที่เขาอยากทำกับคนอายุน้อยกว่ามาตลอด

“ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้วเนอะ”ไม่มีใครเห็นเพราะซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทไงล่ะ

“…เจ้านี่มันตาแก่น่ารำคาญของแท้เลย”ก็เห็นด่าแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนคบกัน แล้วดูต้นรักต้นใหญ่ที่ออกดอกบานสะพรั่งกลางหน้าหนาวสิ ดูเติบโตขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนแทบจำไม่ได้เลย

แม้จะยังทำหน้าเบื่อโลกอยู่แต่ใบหูแดง ๆ ก็ไม่เคยโกหกได้สำเร็จเลย มิคะสึกิรักท่าทางเหล่านั้น รักทุกอย่างที่เป็นยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ เหมือนที่เด็กหนุ่มชอบในความเป็นตาแก่น่ารำคาญของเขานั่นไง

“ฮะ ๆ ๆ ดีแล้วล่ะ ๆ”

FIN

**************************************

Free Talk :

กลับมาแล้วค่ะะะะะะะะะะะะ~ //กระโดดกอด

หายตัวไปทำไฟนอลโปรเจ็ค+สอบไฟนอลมาค่ะ แล้วก็ก่อนหน้านั้นหนีความจริงไปเที่ยวญี่ปุ่นมาด้วย ยุ่งม๊ากกกกกกกก มากกกกกกก

ตอนพิเศษคริสต์มาสอาจจะช้าไปหน่อยเพราะคอมพืชพังค่ะ ลองอัพในมือถือก็ไม่เวิร์คสุดท้ายเลยต้องนั่งรอยันเที่ยงคืนให้แม่ขึ้นไม่นอนแล้วยืมเอาโน้ตบุ๊คแม่มาอัพฟิคค่ะ—–

ตอนนี้ได้ไอเดียมาจากตัวพืชเองคือเวลาไปเที่ยวชอบหิ้วนุยติดกระเป๋าไปเดิน ไปถ่ายรูปเล่นด้วย+มโนว่าถ้าซนว.ส่งดาบมาเผชิญโชคยุคปัจจุบันจะเป็นยังไง เลยเกิดเป็นฟิคสั้นวันพิเศษ(แบบเลท ๆ)ขึ้นมาค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านนะคะที่รู้ทั้งรู้ว่าพืชอู้หายไปแต่ก็ยังติดตาม ยังเมจเสจมาคุยกันอยู่ ทำเอาพืชรู้สึกผิดที่ดองเลยค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ขอขอบตุณจริง ๆ ค่ะ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ รัก<3

2 thoughts on “[One-Short TouRabu Fic]Golden Wish[MikanBa]

  1. มาเจิม(?)ค่ะ สครีมใส่พืชซังหนักมาก แออออออออ
    อ่านไปยิ้มไป งื้อออออ คู่นี้มีความน่ารักมากกกกกก
    เด็กซึ่นก็ยังคงเป็นเด็กซึนอยู่วันยังค่ำเนอะ ฮาาาาาา

    ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆ และดีต่อใจเช่นนี้นะคะ งือออออ //มโนฉากต่อยาวไป—-

    ถูกใจ

ใส่ความเห็น