[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 4

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Story   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning 

                       ฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ต ภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ ที่คุณโค่อธิบายเอาไว้ใต้ภาพมาขยาย+ผสมกาวเจ้มจ้นจนเป็นเรื่องราวขำ ๆ สโลว์ไลฟ์อย่างที่เห็น…

                       แต่!!ขอ ให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลของคุณโค่ เพราะเราเพียงแค่นำเรื่องย่อของคุณโค่มาเป็นเส้นเรื่องหลักเท่านั้น และที่สำคัญหลุดคาร์แน่นอน โปรดใช้จักรยานในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

 

**************************************

 

บทที่ 4 ชิดใกล้

“โห่~ ฮี้โห่ ๆ ๆ ๆ ๆ~~~”

“ฮิ้วววววววววววว~~~”

เสียงโห่สามลาดังลั่นเรือนทันทีที่พี่ใหญ่ของบ้านอย่างเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก้าวออกมาจากห้องนอนส่วนตัว พี่น้องร่วมบิดาทั้งสามนั่งรออยู่ด้วยกันเกือบพร้อมหน้าขาดแค่เพียงคุณหมออิทธิพัทธ์คนเดียวเท่านั้น ผู้มาใหม่เลิกคิ้วมองพี่น้องที่พากันจ้องมาที่เขาอย่างฉงนก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งข้างน้องชายคนรอง

“เล่นอะไรของพวกเจ้าน่ะ? อิทธิพัทธ์น่าจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่แล้วมิใช่หรือ?”พี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยถามพลางยกชาขึ้นมาจิบตามประสาคนอายุมาก

“ก็ใครว่าพวกข้าโห่ให้อิทธิพัทธ์เล่า”หนุ่มผมยาวเท้าคางตอบพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เรากำลังโห่ให้ว่าที่เจ้าบ่าวคนต่อไปอยู่”น้องชายคนเล็กตอบเสียงดังฟังชัดเรียกเสียงโห่ฮาออกมาจากพี่ชายทั้งสองคนอีกครั้ง เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ได้ฟังก็ได้แต่แอบอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ให้เหล่าน้องชายตัวดีทั้งหลายเห็น

“เจ้าเล่าให้พวกเขาฟังหรืออัศวะ?”ใบหน้าคมสันหันไปหาน้องชายร่างยักษ์คนเดียวกับที่ไปรับไปส่งเขาที่เรือนนครไพศาลเมื่อคืนวาน คนถูกพาดพิงไม่ได้เหงื่อตกหรือวิตกกังวลที่ถูกจับได้แต่อย่างใดแต่กลับทำตัวสบาย ๆ ป้อนข้าวน้องชายคนเล็กได้ตามปกติ

“ก็ท่านไม่ได้บอกให้ข้าเก็บเป็นความลับนี่”เจ้าตัวตอบเสียงดัง ก็จริงอย่างที่บอกเพราะเมื่อวานเขาก็ไม่ได้สั่งให้อัศวะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแต่อย่างใดเพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ขอแค่อย่าให้ถึงหูบิดามารดาก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

“ยังไงกันๆ เหตุใดท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ผู้สูงงงงงงงงส่งเสียจนไม่ชายตาแลหญิงใดในพระนครจึงไปตกหลุมรักหญิงธรรมดาไร้ยศศักดิ์ได้เล่า?”จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ เนตรสีแดงฉานเหลือบไปมองพี่ชายร่วมบิดาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“คุณหนูยมลภาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางเป็นคนพิเศษ ที่สำคัญข้าไม่เคยรักใครด้วยยศศักดิ์”

“โอ้โห… เช่นนั้นท่านพี่ของข้าช่วยบอกความพิเศษของนางให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”

“ข้าเคยได้ยินมานะว่านางสวย”ชายผู้มีเรือนผมสีดวงตะวันเอ่ยสนับสนุนระหว่างที่รอพี่คนโตดื่มชาจนหมด

“ใบหน้านางงดงามราวกับนางในวรรณคดีเลยรึเปล่า?”น้องเล็กเอ่ยถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ไม่หรอก แต่นางงดงามยิ่งกว่านั้น”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ตอบพลางนึกถึงใบหน้างามที่มักถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าคลุมหน้าผืนเก่าราวกับไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชม แต่ชายหนุ่มกลับไม่มองว่าผ้าคลุมหน้าผืนนั้นเป็นข้อเสียหรือจุดด้อยของเธอแต่อย่างใด ดีเสียอีกจะได้ไม่มีใครได้เห็นใบหน้านั้นนอกจากเขา

“รักบังตาสินะ…”คนช่างเย้าได้ฟังถึงกับลูบเคราอากาศจินตนาการถึงความงามของหญิงสาวที่ตนรู้จักแค่เพียงชื่อแต่ได้ยินกิติศักดิ์จากปากพี่ชายมาว่างามหนักหนา จะมีจริง ๆ หรือหญิงชาวบ้านที่งามกว่าสตรีชั้นสูงในรั้วในวัง?

“ถ้าเจ้าได้พบนางเจ้าจะไม่กล้าพูดแบบนั้น”ชาหอมกรุ่นถูกรินเติมจนเต็มอีกครั้งก่อนที่บุรุษผมสีราตรีจะยกแก้วขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วค่อย ๆ จิบมันทีละนิด

“งั้นก็แสดงว่าท่านหลงรูปลักษณ์ภายนอกของนางงั้นหรือ?”

“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่เชิงหรอก”แก้วชาถูกวางลงจนเกิดเสียงกระทบกับจานรองดังกริ๊ง ของเหลวสีเขียวใสกระเพื่อมไปมาช้า ๆ โดยมีก้านชาแท่งเล็กตั้งตรงอยู่บริเวณกลางแก้ว สามพี่น้องหันไปมองชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะโดยพร้อมเพรียงพลางลุ้นกับคำตอบของพี่ใหญ่ราวกับลุ้นไก่ชนก็ไม่ปาน

“ตัวข้าอายุอานามก็มากโขแล้ว ความรักก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี คงเพราะเหตุนี้กระมังข้าจึงไม่ลังเลต่อความรู้สึกแม้จะได้พบนางเพียงครั้งแรกก็ตาม”คำตอบของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ฟังเผิน ๆ อาจดูเป็นคำตอบธรรมดา แต่กับพี่น้องทั้งสามที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาหลายขวบปีนั้นคำพูดสั้น ๆ นี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความหมายแฝงมากมายอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากปากบุรุษยศสูงผู้นี้มาก่อน

เพราะความเป็นลูกเจ้าลูกกระหม่อมอีกทั้งยังเป็นพี่ชายคนโตผู้สืบตระกูล ตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จึงได้พบหญิงสาวชนชั้นสูงมามากหน้าหลายตา ความจริงข้อนี้พี่น้องทุกคนต่างก็ทราบดี แต่ช่างปักผ้าสาวสามัญชนผู้นี้กลับทำให้ชายสูงศักดิ์ผู้เคยหน่ายต่อความรักกลับมาชุ่มชื่นราวกับมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดใจเสียจนอยากจะเขียนเป็นจดหมายเหตุไว้ให้คนรุ่นหลังอ่านยิ่งนัก

“แสดงว่าท่านตกหลุมรักนางไปแล้ว?”

“ในตอนนี้จะเรียกแบบนั้นคงยังไม่ได้ แต่อย่างน้อยขาข้าก็ลงไปข้างนึงแล้วล่ะ ฮะ ๆ ๆ”ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีทำเอาคนถามถึงกับกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ

“บอกข้าสิว่าท่านล้อข้าเล่น?”

“ข้ามิใช่หนุ่มเจ้าสำราญ ไม่กล้าเอาเรื่องความรักมาล้อเล่นหรอก”คำตอบนั้นทำเอาน้องชายคนรองถึงกับสะอึกราวกับถูกแทงใจดำเสียจนไม่กล้าที่จะเอ่ยถามอะไรต่อ

“เห็นท่านเป็นแบบนี้แล้วข้าหงุดหงิดชะมัด!!”อันที่จริงเขาไม่ได้หงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายกำลังมีความรักที่จริงจังอยู่หรอก แต่หงุดหงิดเพราะถูกตอกกลับด้วยเรื่องในอดีตที่ต้องการจะลืมมากกว่า แม้จะเป็นการตอบกลับแบบอ้อม ๆ แต่สายตาเย้ยหยันที่ผู้เป็นพี่ส่งมาให้ในขณะที่พูดนั้นมันชัดเสียยิ่งกว่าอะไร

“แล้วท่านจะใช้วิธีไหนพิชิตใจนาง? คงไม่ได้หวังแค่รอเวลาหรอกใช่มั้ย?”อัศวะถามต่อไม่รอให้คนที่กำลังหงุดหงิดได้เข้าแทรก

“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ถ้าในตอนนี้แค่ข้าไปดูหน้านางทุกวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

“ท่านจะบ้าเรอะ!? ขืนทำตัวเอื่อยเฉื่อยแบบนั้นกว่านางจะรับรักท่าน ๆ คงไปนอนในโลงแล้ว”คนอารมณ์ร้อนโพลงขึ้นมาเสียงดังจนแทบจะได้ยินไปถึงหน้าเรือนจนพี่เลี้ยงเด็กต้องเอามือปิดหูน้องเล็กสุดที่ตกใจจนสะดุ้งโหยงขึ้นมา

“หรือเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้?”จิ้งจอกหนุ่มได้ฟังก็หยัดกายลุกขึ้น ขายาวก้าวฉับเข้าไปยังห้องส่วนตัวของตนก่อนรื้อค้นบางสิ่งจนเกิดเสียงดังโครมครามได้ยินไปถึงภายนอก ในไม่ช้าเขาก็เดินออกมาพร้อมหนังสือเก่า ๆ เล่มหนึ่งที่ถูกอะไรต่อมิอะไรทับจนเสียรูปทรง

“เอานี่ไปสิ”มือแกร่งยื่นหนังสือไปอยู่ตรงหน้าพี่ชายของตน

“นี่มันตำราเกี้ยวหญิงนี่… อย่าบอกนะว่าเจ้าเขียนเอง?”คนมีความรักเปิดไล่เนื้อหาดูทีละหน้าก่อนหันไปถามคนที่นำมันมาให้เขา

“ของมันแน่อยู่แล้ว”อดีตหนุ่มเจ้าสำราญตอบด้วยความภาคภูมิใจ อันที่จริงจะเรียกว่าหนังสือก็คงไม่ได้เพราะเขาเขียนมันด้วยลายมือเขาเองทั้งหมด ถ้าเรียกให้ถูกคงเป็นสมุดบันทึกเสียมากกว่า

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อ่านเนื้อหาในสมุดบันทึกคร่าว ๆ ทีละหน้า แม้ลายมือจะไม่ได้บรรจงมากแต่ก็ไม่ได้อ่านยากแต่อย่างใด เนื้อหาในสมุดเต็มไปด้วยมุกจีบหญิง บทฉ่อย รวมไปถึงเพลงที่เอาไว้ร้องเล่นตามงานเทศกาลต่าง ๆ ที่น่าตกใจที่สุดคงจะเป็นกลอนกาพย์ทั้งหลายที่พ่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ช่างไปสรรหามาจากไหนเยอะแยะก็ไม่รู้ ทั้งที่ดูไม่น่าเป็นคนชื่นชอบอะไรแบบนี้เลยแท้ ๆ

ที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อเขาบ้างก็มีแค่บันทึกสั้น ๆ เขียนบรรยายว่าผู้หญิงชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน แต่ตรงนี้จะใช้กับคุณหนูยมลภาได้รึเปล่าก็อีกเรื่อง…

“…ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ข้าว่าไม่ดีกว่า”อ่านไปไม่ถึงครึ่งเล่มพี่ใหญ่ก็ต้องปิดสมุดแล้วส่งมันคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงของมัน

“ทำไมล่ะ? วิธีพวกนี้ข้าเคยใช้สมัยหนุ่ม ๆ แล้วได้ผลนะ”คนมากประสบการณ์โวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความหวังดีและคำแนะนำของตนทั้งที่ครั้งนี้เห็นว่าจริงจังกับความรักจึงอยากจะช่วยบ้างแท้ ๆ

“แต่ข้ามันแก่แล้วน่ะสิ อีกอย่างข้าคิดว่าคุณหนูยมลภาคงไม่ใจอ่อนให้ข้าเพราะมุกน้ำเน่าของเจ้าแน่ ๆ”

“สมกับเป็นท่านพี่ พูดจาโหดร้ายกับน้องชายตัวเองได้หน้าตาเฉย”จิ้งจอกในตอนนี้เริ่มกลายร่างเป็นหมาหงอยเพียงเพราะถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ ซ้ำน้องชายอีกสองคนเองก็ทำท่าจะไม่สนใจเขาซักเท่าไหร่นัก ทำไมพี่น้องถึงไม่มีใครรักเขาเลยนะ!?

“ข้าอาจไม่อยู่ในสถานะที่จะแนะนำท่านได้ แต่ข้าว่าท่านลองหาของติดไม้ติดมือไปฝากนางบ้างก็ดี”ชายร่างยักษ์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากให้คำแนะนำบ้าง แต่เขาไม่เคยมีความรักจริงจังอย่างพี่น้องคนอื่นจึงได้แต่คิดว่านี่คงเป็นคำแนะนำพื้น ๆ ที่อาจช่วยไม่ได้เท่าไหร่นัก

“นางจะมองว่าข้าซื้อใจนางด้วยเงินน่ะสิ รอให้ข้าทลายกำแพงในใจนางได้ก่อนค่อยหาอะไรไปฝากก็ยังไม่สาย”แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับวิธีนี้ในทันทีแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแบบหักหาญน้ำใจ แถมฟังจากคำตอบดูท่าว่าคำแนะนำของเขาจะมีประโยชน์ในระยะยาวเสียด้วย

“บางทีข้าควรรีบไปทำงานก่อนที่พวกเจ้าจะสรรหาวิธีประหลาดมาให้ข้าปวดหัวอีก เจ้าเองก็อย่าไปทำงานสายล่ะ”มือหนาค้ำพื้นเรือนเอาไว้ก่อนค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำงานทั้งที่มื้อเช้ายังไม่ได้ทานอะไรได้ดื่มแต่ชาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ฝ่ามือตบเข้ากับบ่ากว้างของน้องชายคนรองที่ทำท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่มีแววว่าจะรีบไปทำงาน อัศวะหยิบไม้เท้าฝังทองคำเปลวส่งให้พี่ชายเมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายจะลืมมันทิ้งไว้

“ชิ… รู้แล้วล่ะน่า…”คนหนุ่มเดาะลิ้นตอบอย่างไม่พอใจ ทั้งสามมองส่งพี่ชายจนก้าวพ้นประตูเรือนไปแล้วจึงรับประทานอาหารเช้าต่อกันได้เสียที

“ท่านพี่ดูเอาจริงมากเลยนะ”จิ้งจอกหนุ่มกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งพลางเปิดประเด็นเรื่องพี่ชายกับรักครั้งใหม่

“คุณหนูยมลภาคนนั้นคงตั้งกำแพงไว้สูงพอสมควร ท่านพี่เลยต้องเอาจริงแบบนี้”คนที่ไม่เคยมีความรักเอ่ยตอบมือยังคงตักข้าวเข้าปากน้องชายคำใหญ่

“แต่เจ้าไม่คิดเหรอความรักที่ได้มาด้วยความยากลำบากน่ะ มันควรค่าแก่การรักษาขนาดไหน”สายตาเจ้าเล่ห์เหล่มองสมุดบันทึกของตนที่ถูกส่งคืนกลับมาพลางนึกถึงอดีตสมัยยังทำตัวเหลวแหลกเห็นความรักเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น บุรุษผมสั้นเกรียนได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจนึกถึงอุปสรรคต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้าที่พี่ชายของเขาและคุณหนูแห่งบ้านนครไพศาลต้องเผชิญ

“ขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ควรค่าแก่การรักษาทั้งนั้นแหละ…”

เมื่อเสร็จจากงานราชการอันแสนน่าเบื่อ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็รีบจ้างรถม้าตรงมายังเรือนนครไพศาลทันที และเพราะนี่เป็นเวลาเกือบเย็นย่ำแล้วเหล่าแม่ค้าจึงพากันเริ่มออกมาตั้งแผงขายของข้างทางกันให้เห็นเป็นสีสันต์ยามเย็นกันบ้างประปราย

รถม้าแล่นผ่านท่าเรือทำให้เห็นชนชั้นใช้แรงงานนับสิบชีวิตกำลังขนสินค้าและผ้าจากเมืองฝรั่งลงจากเรือทำให้ชายหนุ่มอดนึกถึงคำแนะนำของน้องชายว่าให้หาซื้อของไปฝากคุณหนูเสียบ้าง แม้ใจจะอยากบอกรถม้าให้หยุดเพื่อตนจะได้ลงไปหาซื้อของฝากแต่จิตสำนึกลึก ๆ กลับบอกว่ายังเร็วเกินไปที่เธอจะยอมรับสิ่งของใด ๆ จากเขาแม้จะเป็นของที่เธอชอบมากก็ตาม

ไม่นานนักรถม้าหยุดนิ่งหน้าเรือนนครไพศาล หนุ่มยศเจ้าพระยาก้าวลงจากเบาะนั่งยื่นถุงใส่เงินให้สารถีอายุคราวปู่โดยที่ยังไม่ได้ถามราคา เมื่อชายชราเปิดถุงผ้าออกดูก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างกับจำนวนเงินที่ได้รับมาจนอยากจะลงไปกราบชายผู้ว่าจ้างเสียเดี๋ยวนั้น

เมื่อก้าวขึ้นไปบนเรือนนครไพศาลภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือหญิงสาวร่างเล็กบางกำลังนั่งปักผ้าอย่างตั้งใจและเพราะเธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับผ้าจึงยังไม่รับรู้การมาของชายหนุ่ม เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ได้แต่ยืนมองเธอจากที่ไกล ๆ ซึมซับความงดงามของภาพที่เห็นตรงหน้าให้นานที่สุดก่อนที่เธอจะรู้ตัวแล้วชักสีหน้าบูดบึ้งใส่เขา จนเมื่อรู้สึกอิ่มเอมเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อย ๆ เข้าไปทักทายใกล้ ๆ

“วันนี้ไม่อยู่ในห้องเหรอคุณหนู?”ใบหน้างามหันควับมาหาผู้มาเยือน จะอย่างไรเธอก็ไม่ชินกับการมาอย่างทีเผลอของบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย ถ้าวันใดเธอเกิดหัวใจวายขึ้นมาก็อย่าได้สงสัยเลยว่าเป็นเพราะใคร

“ก… ก็ท่านบอกจะมาดูผ้าไม่ใช่รึไง?”เธอพูดตะกุกตะกักหันกลับไปให้ความสนใจกับสไบเจ้าสาว แค่ฟังจากน้ำเสียงตอบกลับชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าสาวเจ้ากำลังซ่อนสีหน้าแดงก่ำไว้ใต้ผ้าคลุมหน้าอย่างเคย อยากเดินอ้อมไปมองใบหน้านั้นให้ชัด ๆ ซักครา แต่ก็ไม่อยากแกล้งให้อีกฝ่ายโมโหจนเกินไป

“นั่นสินะ… แขกมาทั้งทีจะให้หมกตัวอยู่แต่ในห้องมันก็เสียมารยาทสินะ”

“…”

“ทำได้ถึงไหนแล้วล่ะ?”เพราะยังเขินอายและอยากจดจ่อกับสิ่งที่ทำคุณหนูยมลภาเลยไม่ได้ชวนเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์พูดคุยอะไรต่อ นั่นจึงเป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่ต้องหาเรื่องคุยกับเธอบ้างเพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป และแน่นอนว่าเพื่อให้เธอเริ่มเปิดใจกับเขาด้วย

“ข้าปักเพชรไปได้เกือบครึ่งแล้วถ้าทำตรงนี้เสร็จก็เหลือแค่เก็บรายละเอียดเท่านั้น”ช่างปักผ้าสาวกลัดเข็มไว้ริมชายผ้าก่อนยื่นผลงานของเธอให้(พี่ชายของ)ผู้ว่าจ้างดู อีกฝ่ายรับมันมาพิศดูรายละเอียดอันประณีตบรรจงดั่งผลงานของช่างฝีมือในวังหลวง

เกสรดอกพิกุลปักด้วยไพลินและมรกตสลับกัน ตัวกลีบเป็นดิ้นทองต่างขนาดปักเรียงกันเรียบร้อยสวยงาม เรียกได้ว่าเก็บงานเนี้ยบไปทุกกระเบียดนิ้วเสียจนไม่มีอะไรต้องติเลยด้วยซ้ำ

“ใช้เวลาอีกกี่วันรึ?”

“อย่างเร็วสุดประมาณ3วัน ช้าสุดข้าให้4วัน”

“…”

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็ไม่ใช่คนช่างคุยอะไรอยู่แล้ว ออกจะเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงเสียด้วยซ้ำ แต่ที่บางครั้งต้องทำตัวราวกับเป็นคนเข้าหาง่ายมนุษยสัมพันธ์ดีก็เป็นเพราะเรื่องงานที่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น พอต้องถอดหน้ากากแล้วมาเป็นฝ่ายชวนคุยมันจึงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย

หากยังคิดไม่ออกว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรไรก็มีแต่ต้องใช้การกระทำเป็นตัวสื่อเท่านั้น นึกได้ดังนั้นจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กำลังนั่งหันหลังปักผ้าให้เขาอยู่ก่อนค่อย ๆ ชะโงกหน้าทำเป็นเนียนดูลายปักผ้า

“ห่างกว่านี้ก็ได้มั้งท่าน…”หญิงสาวเริ่มออกปากไล่หลังจากที่ถูกชายหนุ่มเอาตัวมาเบียดจนชิดติดกันทำให้ปักผ้าไม่สะดวก

“ก็ข้าอยากดูผ้าใกล้ ๆ นี่นา”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงระรื่นเมื่อแผนของตนได้ผล คุณหนูยมลภานั่งเหงื่อตกไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เพราะเกร็งที่ต้องมาใกล้ชิดกันผู้ชายสองต่อสองบนเรือนกว้างแต่หากเขาอ้างว่างอยากดูผ้าเธอกล้าเอ่ยปากไล่อีกครั้งได้อย่างไรกันเล่า?

ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นระส่ำส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ ร่างบางอยากจะเป็นฝ่ายลุกหนีเสียเองแต่ติดที่ว่ามันดูเสียมารยาทและขาทั้งสองของเธอก็เริ่มเกิดอาการเหน็บชาจากการนั่งท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานานบ้างแล้ว ลองขอร้องให้อีกฝ่ายออกห่างจากตัวเองแบบอ้อม ๆ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

“ท่านเจ้าพระยา ข้าอึดอัด…”มือเรียวหยุดปักผ้าก้มหน้าบ่นให้อีกฝ่ายได้ยิน หวังว่าเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อนะ

“งั้นไปปักต่อที่เรือนข้าดีหรือไม่? เรือนข้ากว้างขวางนักนะ”ผิดคาด… นอกจากเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จะไม่ยอมถอยออกห่างจากเธอแล้วยังมีหน้ามาชวนเธอไปที่เรือนเขาอีก บัดสีบัดเถลิง… หน้าไม่อายที่สุด…

จริงอยู่ว่าที่พูดไปนั้นชายหนุ่มเพียงต้องการแค่จะแหย่เธอเล่นเท่านั้น แต่ในใจนึกแอบหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ยากว่าเธอจะตอบตกลงแล้วยอมไปเรือนใหญ่กับเขา ไม่ผิดหรอก… มันก็แค่สิ่งที่เป็นไปได้ยาก ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวเสียหน่อย

“…”

คำตอบของคนอายุมากกว่าทำเอาหญิงสาวถึงกับไปต่อไม่ถูก เธอเลือกที่จะเงียบใส่เขาแล้วปักผ้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งที่เป็นคนชอบบรรยากาศเงียบสงบแท้ ๆ แต่คนยศสูงกลับรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลยที่เรือนนครไพศาลในยามนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน เขารู้ว่าคุณหนู’ของเขา’นั้นชอบเก็บตัวเงียบไม่คุยกับผู้คน แต่ก็ไม่คิดว่าจะใจร้ายปล่อยให้เขาต้องเงียบเหงาเรียกร้องความสนใจอยู่คนเดียวแบบนี้ ปกติเวลาชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองเขาคุยอะไรกันบ้างนะ? รู้งี้น่าจะเอาตำราเกี้ยวหญิงเล่มนั้นติดมือออกมาด้วย กลับบ้านไปคงต้องขอโทษน้องชายคนรองเป็นการใหญ่เสียแล้ว

“วัน ๆ คุณหนูได้แต่ปักผ้าอย่างเดียวเลยหรือ?”นี่เป็นคำถามพื้น ๆ ข้อเดียวที่เขาพอจะคิดได้

“ก็ประมาณนั้น…”เธอตอบสั้น ๆ

“แล้วไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือ?”

“ถ้าเบื่อจริง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปร้อยมาลัยไม่ก็จัดดอกไม้ แต่ข้าไม่ใช่คนขี้เบื่อขนาดนั้นหรอก”เธอตอบเขาทุกคำถามแต่กลับไม่มองหน้าเขาเลย คนอายุมากเริ่มออกอาการน้อยใจเป็นเด็ก ๆ แต่จะให้เธอเห็นไม่ได้ว่าเขากำลังทำตัวน่าอายเช่นนี้อยู่ คงมีแต่จะต้องถอยกลับไปตั้งหลักคิดแผนกระชับความสัมพันธ์ใหม่เท่านั้น

สายลมในเวลาเย็นย่ำกับบรรยากาศเงียบเชียบทำเอาคุณหนูยมลภารู้สึกง่วงงุนขึ้นมาบ้างแล้ว เสียงข้าทาสในครัวทำอาหารกับดังโฉ่งฉ่างเป็นตัวปลุกในเธอสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มันเงียบเหงาเกินไปราวกับว่าตอนนี้เธออยู่นเดียวบนเรือน

เธอหันไปมองรอบกายเห็นเพียงเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์กำลังนั่งเงียบทำหน้าบูดบึ้งราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ หรือเขาจะโกรธที่เธอทำตัวเงียบใส่เขา? ต้องเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ แถมเธอยังไปนั่งหันหลังใส่เขาอีกลืมไปเลยว่ามันเสียมารยาท อยากจะขอโทษแต่ปากก็หนักเหลือเกินจนไม่กล้าเอ่ยออกไป แต่ถ้าแค่ชวนคุยเป็นการไถ่โทษเธอคงพอทำได้กระมัง

“นี่ก็เย็นแล้ว ท่านยังไม่กลับบ้านอีกหรือ?”มือเรียวแอบตีปากไว ๆ ของตนเองไปทีนึงที่ไปเอ่ยปากไล่ชายหนุ่มแบบนั้นทั้งที่ตั้งใจว่าจะชวนคุยแท้ ๆ ดำอีกฝ่ายที่กำลังนั่งคิดแผนกระชับความสัมพันธ์ใหม่ถึงกับตกใจที่จู่ ๆ คุณหนูผู้แสนขี้อายก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อนโดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แม้ประโยคดังกล่าวจะฟังดูเหมือนต้องการจะไล่เขาก็ตาม

“ข้ากลัวเจ้าเหงานี่นา อีกอย่างข้าไม่มีพันธะอะไรจะอยู่ถึงกี่ยามก็ย่อมได้”ถ้าให้แปลตรง ๆ ใจความที่แท้จริงที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ต้องการจะสื่อคือ ’ข้ายังไม่มีภรรยาและข้าจะอยู่จนกว่าจะได้เจ้าเป็นภรรยา’ และเพราะมันดูจะรุกล้ำสาวเจ้ามากจนเกินไปนี่แหละถึงได้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

“…”

บรรยากาศเงียบงันชวนเหงาใจวนกลับมาอีกครั้ง คนเจ้าเล่ห์แอบคิดไปว่าหญิงสาวคงเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึงได้นิ่งเงียบไม่มีการตอบรับอะไรเลยแบบนี้ เห็นทีวันนี้คงต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่จริง ๆ แค่มาดูหน้านางอย่างเดียวคงไม่ทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นอย่างที่น้องชายตัวดีของเขาบอกจริง ๆ

ในขณะที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์กำลังถอดใจและกำลังจะลาคุณหนูกลับบ้านของตน จู่ ๆ กลีบปากบางคู่นั้นก็เอื้อนเอ่ยวาจาออกมาสร้างความประหลาดใจให้คนฟังอีกครั้ง

“ก่อนจะมาหัดปักผ้าข้าเคยลองฝึกทำอาหารอยู่เหมือนกัน”ไม้ตะพดฝังทองคำเปลวถูกวางไว้ที่เดิม ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะบอกลาเธอออกจากหัวแล้วเปลี่ยนกลับมานั่งฟังเรื่องของเธออย่างตั้งใจ

“แต่ว่าตอนนั้นหัดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดอุบัติเหตุ ไฟจากเตาถ่านไหม้ชายผ้าคลุมข้า จนแม่นมต้องสั่งห้ามข้าเข้าครัวเลยล่ะ…”

“จะเล่าเรื่องให้ข้าฟังทั้งทีก็หันมาหาข้าซักนิดสิคุณหนู”คนเอาแต่ใจทักท้วง อีกฝ่ายรู้ดีว่าการหันหลังให้คู่สนทนานั้นมันเสียมารยาท แต่เธอก็อายเสียจนไม่กล้ามองหน้าเขาจริง ๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรเธอก็ตามที

ถึงจะรู้สึกเขินอายเพียงใดแต่สุดท้ายคุณหนูยมลภาก็ยอมหันหน้ามาหาเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อย่างที่เขาร้องขอแม้จะหันมาเพียงครึ่งเดียว เธอลอบหันไปมองเขาทั้งยังนั่งห่อไหล่ซ่อนอาการเขินอายที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มองหน้าชายผู้นี้ เมื่อคิดว่าจะต้องเจอเขาทุกวันก็มีแต่จะต้องทำใจให้ชินเท่านั้น จะให้มานั่งหน้าแดงแบบนี้ตลอดเวลาคงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

“เล่าต่อสิ ข้าอยากฟังอีก”ชายหนุ่มคะยั้นคะยอเมื่อเห็นว่าสีหน้าเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติไม่ได้แดงฉานเหมือนวินาทีแรกที่หันมาแล้ว

“ข้า… เล่าถึงไหนแล้วนะ?”

“เจ้าถูกแม่นมห้ามไม่ให้เข้าครัว”เรียวปากคมหยักยิ้มตอบเธออย่างอารมณ์ดี

“ใช่… แม่นมสั่งห้ามข้าไม่ให้เข้าครัวอีกเพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกว่านี้ แต่ข้าก็ไม่ได้กลัวไฟหรอกนะ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกอยากทำอะไรกินเองอยู่เหมือนกัน แต่พอจะลงครัวเองทีไรก็จะถูกบ่าวไพร่พาออกจากห้องครัวทุกที”เธอเล่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกประคบประหงมมากเกินไปตั้งแต่เด็ก คนฟังแอบขำเบา ๆ พยายามไม่ให้เธอได้ยิน

“ท่านหัวเราะข้าเหรอ!?”

“ฮะ ๆ ๆ ก็ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีมุมแบบนี้ด้วยนี่”

“ท่านช่างใจร้ายนักที่มาหัวเราะเยาะข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์เล่าให้ท่านฟังแท้ ๆ”เธอหันไปโวยวายค้อนใส่คนยศสูงท่าทางน่าเอ็นดู มือแกร่งลูบหัวเธอราวกับปลอบโยนเด็กน้อยทำเอาเธอตกใจจนต้องเอียงศีรษะหลบ

“โทษที ๆ แล้วที่เจ้าว่าอยากลงครัวทำอะไรกินเองนี่เจ้าอยากทำอะไรหรือ?”

“ก็… ข้า… อยากทำขนมน่ะ… ย… อย่าหัวเราะข้านะ!! ที่ข้าอยากทำไม่ใช่เพราะชอบแต่เพราะไม่ค่อยได้กินบ่อยต่างหากล่ะ!!”

“ฮะ ๆ ๆ ข้าเชื่อเจ้าแล้วล่ะคุณหนู แล้ว… เจ้าอยากชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าล่ะ?”

“ถ้าที่ชอบ… สัญญาก่อนสิว่าจะไม่หัวเราะ…”

“ข้าสัญญา”ถึงจะไม่อยากเชื่อคำสัญญาของคนตรงหน้าซักเท่าไหร่แต่เขาก็เอ่ยมันออกมาแล้ว อีกอย่างแค่บอกขนมที่ชอบไปก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย

“ข้า… ชอบน้ำตาลปั้น…”คนฟังถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ

“น้ำตาลปั้น?”เธอพยักหน้าให้เขา

“เจ้าหมายถึงน้ำตาลปั้นเสียบไม้เขาปั้นเป็นรูปสัตว์ รูปดอกไม้นั่นน่ะหรือ?”

“ก… ก็ใช่น่ะสิ!! ขอโทษด้วยแล้วกันนะที่ข้าชอบอะไรเด็กน้อยแบบนั้น ข้ามันก็เป็นแบบนี้แหละ…”คุณหนูยมลภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจทั้งที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นใบหน้างามพองแก้มทำท่าจะร้องไห้บุรุษเจ้าของเรือนผมสีราตรีก็รู้สึกผิดขึ้นมาแบบงง ๆ ทันที

“คุณหนูข้าขอโทษ เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนเจ้าเลยนะ”เธอยังคงพองแก้มแทนคำตอบให้เขาอยู่อย่างนั้น

เวลาที่เธอโกรธหรือน้อยใจก็ดูไม่ต่างจากเด็กน้อยซักเท่าไหร่ อยากจะเข้าไปกอดปลอบอยู่หรอกแต่ดันไปให้สัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องที่เธอไม่ชอบเอาไว้แล้วเรื่องแบบนี้ก็คงต้องอดใจเอาไว้ก่อน จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย…

“…เห็นข้าอายุขนาดนี้ก็เถอะ ข้าก็มีขนมที่ชอบเหมือนกันนะ”คนขี้งอนหูผึ่งทันทีจึงยอมหันหน้ากลับมาหาเขาเหมือนเดิม

“แล้วท่านชอบอะไรล่ะ?”

“ก็ขนมสเน่ห์จันทร์ลูกกลม ๆ นั่นไง กลิ่นหอมควันเทียนรสชาติไม่หวานมากแถมยังเข้ากันได้ดีกับน้ำชาด้วยนะ… เจ้าขำอะไร?”ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองหญิงสาวที่เปลี่ยนสีหน้าจากงอนแก้มป่องเป็นหัวเราะคิกคักในเวลาอันรวดเร็ว เปลี่ยนอารมณ์ง่ายแบบนี้ยิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าไปใหญ่

แต่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่เรือนนครไพศาลที่เขาเห็นคุณหนูยมลภายิ้มหรือหัวเราะ เพียงได้เห็นภาพตรงหน้ามุมปากของของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็พลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว อยากเห็นมากกว่านี้ อยากเห็นสีหน้าต่าง ๆ ของหญิงสาวให้มากกว่านี้ อยากจะเห็นสีหน้าที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็นเร็ว ๆ

“อย่ามัวแต่ขำสิคุณหนู ตอบข้ามาก่อนว่าเจ้าขำอะไร?”

“ข้าก็ขำท่านน่ะสิ”เธอหัวเราะจนหยดน้ำใสไหลออกจากหางจาก นิ้วเรียวปาดมันออกจนหมดแต่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะ

“แสร้งทำเป็นเจ้าพระยาผู้เคร่งขรึมแต่ที่แท้ก็มีขนมหวานที่ชอบเหมือนกัน แถมกันชอบกินกับน้ำชาอีก”

“ก็ทีเจ้ายังชอบของเด็ก ๆ อย่างน้ำตาลปั้นได้เลย อีกอย่างขนมสเน่ห์จันทร์มันไม่ใช่ขนมเด็กเสียหน่อย”

“ขนมก็คือขนมอยู่ดีนั่นแหละ”ทั้งคู่หัวเราะหยอกล้อกันราวกับกำแพงในจิตใจได้ทลายหายไปจนหมดสิ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่คุณหนูยมลภายอมหันหน้ามาหาเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์แบบเต็มตัว ไม่ได้หันมาแค่ด้านข้างเหมือนตอนแรก ๆ ที่เธอเริ่มชวนคุย

รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยจนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว คนหนุ่มสาวที่หมดเรื่องคุยต่างได้แต่มองหน้ากันเงียบ ๆ หญิงสาวไม่อาจสู้สายตารุกร้ายของชายหนุ่มที่จ้องมองมาที่เธอราวกับต้องการจะกลืนกินได้จึงเบี่ยงเบนความสนใจของตนไปยังท้องฟ้ายามเย็น

“ย…  เย็นป่านนี้แล้วหรือ?”เธอเหม่อมองท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงจนเป็นสีส้มฉาบทาไปทั่วทุกหนแห่ง

“ท่านควรกลับได้แล้วนะ”แม้จะฟังดูเหมือนเอ่ยปากไล่ แต่น้ำเสียงกลับฟังดูจะอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย

“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีกแน่นอน ข้าสัญญา”

“แต่ข้าไม่ได้ขอให้ท่านมานี่…”

“หัวใจข้ามันเรียกร้องน่ะคุณหนู”คำพูดสั้น ๆ แต่ทำคุณหนูยมลภาถึงกับหน้าแดงฉานด้วยความกระดากอาย ใจคอเขาจะพูดจาเห็นแก่ได้แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ

“ไว้พบกันพรุ่งนี้นะคุณหนู”เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอก่อนเอ่ยคำลาข้างใบหูนิ่มทำเอาสาวเจ้าเขินเสียจนต้องเอามือปิดหูข้างที่ถูกกระซิบจนขึ้นสีชัดเจน

“จริงด้วยสิ ข้าอยากบอกเจ้ามานานแล้ว… ใบหน้าเจ้างดงามมากนะคุณหนู เวลาอยู่กับข้าสองต่อสองเจ้าไม่จำเป็นต้องคลุมหน้าก็ได้”

เธอไม่รู้ว่าเหตุใดท่านเจ้าพระยาจึงขยันหยอดคำหวานให้เธอใจเต้นไม่เป็นระส่ำเช่นนี้ เขาจะรู้หรือไม่ว่ายามที่เขามาทำดีกับเธอหรือทำให้เธอเขินอายนั้นมันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนผิดจังหวะไปขนาดไหน แถมยังมีความรู้สึกร้อนรุ่มน่าประหลาดที่นับวันยิ่งทวีรุนแรงขึ้นจนแทบบ้านี่อีก ได้โปรดเถิดท่านเจ้าพระยา… ช่วยอย่าทำให้ข้ารู้สึกสับสนกับท่านไปมากกว่านี้เถอะ…

“อ๊ะ!! ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์!?.”ชายหนุ่มในเครื่องแบบโปลิศยืนขวางทางเขาอยู่เรียกชื่อเขาเสียงดัง โครงหน้าและผิวพรรณที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคุณหนูยมลภาทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาคือพี่ชายคนรองแห่งบ้านนครไพศาล

“รู้จักข้าด้วยงั้นหรือ?”

“ต้องรู้จักอยู่แล้วครับ ผมหรินะ นครไพศาลครับ เป็นพี่ชายของน้องมล”โปลิศหนุ่มแนะนำตัวอย่างสุภาพก่อนถามคนยศสูงกว่าต่อ

“ท่านมีธุระกับน้องมลหรือครับ?”

“จริง ๆ ไม่ใช่ข้าหรอกแต่เป็นหมออิทธิพัทธ์ต่างหาก ท่านหมอวานข้าให้มาดูความคืบหน้าผ้าสไบเจ้าสาวของแม่อ้อยแทนเพราะช่วงนี้งานยุ่งกว่าปกตินิดหน่อย”คนฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“วันนี้เสร็จธุระของข้าแล้วคงต้องรีบกลับ ขอโทษที่รบกวนนะหรินะ”ร่างสูงเดินผ่านร่างของโปลิศหนุ่มตรงดิ่งไปที่เพิงรถรับจ้างไม่ห่างจากเรือนครไพศาลเท่าไหร่นัก หรินะได้แต่มองตามแผ่นหลังของท่านเจ้าพระยาที่ค่อย ๆ ห่างออกไป

สองขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนน้องสาวที่โดยปกติเวลานี้มักนั่งปักผ้าอยู่ในห้อง แต่เมื่อขึ้นไปถึงบนเรือนกลับพบน้องสาวที่น่ารักของตนนั่งปิดหน้าฟุบลงกับโต๊ะตัวเตี้ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่พี่ก็คือพี่เพียงแค่เห็นน้องสาวกำลังทำท่าทางประหลาด ๆ กับผู้ชายหน้าตาดีเดินออกจากเรือนไปก็รู้แล้วเกิดอะไรขึ้น

ถ้าลองขอท่านขุนพยัคฆ์เลิกงานเร็วซักวันคงไม่เป็นไรกระมัง…

TBC.

**************************************

Free Talk :

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้พืชเปิดเทอมจริง ๆ แล้วเลยยุ่งขึ้นเยอะค่ะ แต่จะพยายามไม่ดองนานนะคะเพราะพืชเองก็อยากอ่านตอนต่อไปเหมือนกัน 55555

ยังไงก็ขอให้สนุกนะคะ มีฟีแบ็คอะไรคอมเม้นกันได้ หรือไปเวิ่นเว้อใน >>เพจ<< กับ >>ทวิต<< ของพืชก็ได้ค่ะ บายยยย