[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 2

[Fic Touken Ranbu] ดวงใจศาสตรา(ชื่อนี้แหละ ขี้เกียจคิดใหม่)

Paring : Mikazuki Munechika x Yamanbakiri Kunihiro

Rate : PG , Romantic comedy(?) , AU , พีเรียด

Story   : พืชน้ำ(PhuchNam)

Warning 

                       ฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซ็ต ภาพดาบไทยพีเรียดของคุณโค่ cocolu โดยได้รับการอนุมัติแล้วในการนำเนื้อหาคร่าว ๆ ที่คุณโค่อธิบายเอาไว้ใต้ภาพมาขยาย+ผสมกาวเจ้มจ้นจนเป็นเรื่องราวขำ ๆ สโลว์ไลฟ์อย่างที่เห็น…

                       แต่!!ขอ ให้ถือว่าเป็นคนละจักรวาลของคุณโค่ เพราะเราเพียงแค่นำเรื่องย่อของคุณโค่มาเป็นเส้นเรื่องหลักเท่านั้น และที่สำคัญหลุดคาร์แน่นอน โปรดใช้จักรยานในการอ่าน…

หมายเห็ด : อย่าลืมเข้าไปติดตามงานต้นฉบับของคุณโค่กันนะคะ >> จิ้ม

 

**************************************

บทที่ 2 เผลอกาย

ยามเช้าในพระนครผู้คนต่างเดินสวนกันไป สวนกันมาในตลาด เหล่าแม่บ้านและบ่าวไพร่พากันออกมาจับจ่ายซื้อวัตถุดิบไปประกอบอาหารเช้า รวมไปถึงดอกไม้สำหรับไหว้พระที่แค่วางขายบนแผงในไม่กี่วินาทีก็หมดลงอย่างรวดเร็ว

คุณหนูยมลภา นครไพศาลตื่นขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ เธออยากจะนอนอยู่ในห้องแบบนี้ทั้งวันเลยด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นสาวเป็นนางจะมานอนกินบ้านกินเมืองก็ไม่ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้คุณหนูรู้สึกงัวเงียในยามเช้าหนักกว่าปกตินั้นเพราะเมื่อคืนได้แอบไปทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถให้บ่าวไพร่เห็นได้ จึงต้องรอเวลาให้บ่าวไพร่นอนหลับจนหมดเสียก่อน กว่าเธอจะได้นอนจริง ๆ ก็ปาเข้าไปยาม3กว่า ๆ ได้

หน้าต่างห้องนอนถูกเปิดออก สายลมเย็น ๆ ยามเช้าพัดผ่านเข้ามาในห้องจนทำให้ผ้าม่านลูกไม้ฝรั่งปลิวกระทบใบหน้างามอย่างไม่ตั้งใจ จากมุมนี้มองเห็นร่องรอยหลุมอะไรซักอย่างที่เธอไปแอบขุดไว้เมื่อคืน ตอนนี้ขออย่างเดียวคืออย่าได้มีใครมาสงสัยรอยหลุมนั่นแล้วมาขุดสิ่งที่เธอฝังไว้ออกไปก็แล้วกัน หญิงสาวกลับหลังหันไปหาโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ปลายเตียง สิ่งแรกที่มือเรียวหยิบขึ้นมาคือผ้าแพรผืนเก่า ๆ สีเรียบ ๆ ที่เป็นคนละผืนกับเมื่อวานที่เผลอทำตกพื้นตอนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์

พูดถึงแล้วก็น่าแค้นใจนัก คน ๆ นั้นบังอาจเหลือเกินที่มาสร้างความอับอายให้ยมลภาผู้นี้ได้ เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน? คิดว่าตัวเองมียศสูงกว่าคนทั่วไปแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? คอยดูเถอะ… ถ้ามาคราวหน้าแม่จะปิดประตูตีหน้าเสียให้เข็ด จะโดนทัณฑ์บนอะไรก็ไม่สนแล้ว!!

บานประตูไม้สักถูกแง้มออกให้เป็นช่องพอให้ส่องดูภายนอกได้ หญิงสาวมองเห็นพี่ชายคนรองกำลังจัดแจงเก็บสัมภาระเตรียมตัวไปทำงาน ในมือมีห่อข้าวอยู่3ห่อ โดยห่อแรกน่าจะเป็นข้าวเช้าที่เอาไปกินระหว่างเดินทาง ส่วนห่อที่2ก็เป็นข้าวเที่ยง และห่อสุดท้ายห่อที่3คือห่อข้าวเที่ยงสำหรับโปลิศนายหนึ่งที่พี่ชายเธอไปก้อร่อก้อติกอยู่

การที่ไม่เห็นพี่ชายคนโตในยามเช้ากลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะพี่ชายคนโตของบ้านนครไพศาลนั้นเป็นนายพราน ต้องออกไปจับสัตว์ป่าแต่เช้ามืด และเมื่อพี่คนรองออกไปทำงานแล้วทั้งเรือนก็จะเหลือแค่เธออยู่คนเดียว ไม่รวมบ่าวไพร่นั่งเล่นอยู่ใต้ถุนเรือน

เมื่อเห็นว่าพี่คนรองออกจากบ้านไปแล้ว หญิงสาวก็รอเวลาซักพักใหญ่ ๆ จึงตัดสินใจเดินลงไปอาบน้ำที่ใต้ถุนเรือน แม้ว่าเธอจะเป็นเจ้าของเรือนก็ตามแต่กลับเดินลับ ๆ ล่อ ๆ ราวกับเป็นคนนอกที่แอบเข้ามาใช้ห้องน้ำของเรือนใหญ่แห่งนี้ ขาเรียวยาวค่อย ๆ เดินเลาะกลุ่มบ่าวไพร่ที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสบนแคร่ไม้ไผ่ จนในที่สุดก็มาถึงห้องน้ำได้อย่างสวัสดิภาพ…

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยก็ถูกนำมาวางตรงหน้า ผ้าสไบเจ้าสาวที่ได้รับมอบหมายจากคุณหมออิทธิพัทธ์ถูกนำมาปักต่อจากเมื่อวาน ใจจริงเธออยากจะทิ้งผืนนี้ไปแล้วปักผืนใหม่แทนด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าเสียดายลวดลายสวย ๆ ที่อุตส่าห์ทำไปได้เกือบครึ่งแล้ว

 

ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเจ้าพระยาผู้นั้นแท้ ๆ !!

 

ทุกครั้งที่นึกถึงนัยเนตรประดับจันทร์เสี้ยวคู่นั้นใบหน้านวลก็พาลเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ฝีเข็มที่กำลังบรรจงปักเป็นลายดอกพิกุลพลันหยุดลงทันทีทันใด ซุกใบหน้าอันร้อนผ่าวเข้ากับฝ่ามือเย็น ๆ ของตัวเอง ก่อนจะตบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างเบา ๆ เป็นการเรียกสติตัวเองกลับคืนมา ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือปักผ้าสไบให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องพบเจ้าของใบหน้าหล่อคมสันนั้นอีกให้เสียอารมณ์

 

ก็อก ๆ ๆ

 

“อาหารเช้าค่ะคุณหนู”เสียงบ่าวชราดังลอดเข้ามาภายในห้อง เนตรกลมโตจ้องมองที่บานประตูไม้สักก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบาบาง

“ข… ขอบใจมากจ้ะ… วางไว้ตรงนั้นแหละ…”เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ออกห่างจากห้องเธอไปเป็นสัญญาณว่าบ่าวชราผู้นั้นได้กลับลงไปทำงานของตนต่อที่ใต้ถุนเรือนแล้ว ผ้าสไบถูกวางทิ้งไว้บนหมอนอิงสีน้ำเงินเข้มก่อนที่ขาเล็ก ๆ ของคุณหนูยมลภาจะพาเธอไปยังหน้าประตูห้องเพื่อนำสำรับอาหารเข้ามารับประทานข้างใน

อาหารเช้าถูกนำเข้ามาภายในห้องแล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้แตะมันซักอย่างเดียว ดวงตาสีฟ้าใสยังคงจดจ่อกับลายดอกพิกุลบนสไบสีทองอร่าม รู้ตัวอีกแดดที่ส่องเข้ามาก็เริ่มร้อนเสียแล้ว แถมอาหารที่บ่าวไพร่ทำมาก็เย็นชืดจนหมดอร่อยไปอีก

แม้จะไม่อร่อยเหมือนกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ แล้ว แต่คุณหนูยมลภาก็หาใช่คนเรื่องมากไม่ เธอรับประทานอาหารเหล่านั้นเข้าไปได้อย่างน่าตาเฉยราวกับว่าต้องการที่จะกินเพื่ออิ่มเท่านั้น ไม่ได้สนใจในเรื่องรสชาติอะไรเหมือนพวกผู้ดีมียศหรอก แต่เมื่อกินไปได้ไม่ถึงครึ่งเธอก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว ถึงจะรู้สึกเสียดายแต่เธอก็ไม่ควรจะฝืนกินไปมากกว่านี้ สำรับอาหารถูกยกไปวางไว้ที่หน้าห้องรอให้มีบ่าวซักคนมาเก็บไป คราวนี้เธอจะได้ปักผ้าต่อเสียที

มือเรียวปักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ทุกฝีเข็มเรียงกันเป็นระเบียบสวยงามดั่งปักด้วยช่างฝีมือชั้นสูงภายในวัง ทั้งที่ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมตัวผู้ปักถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป… เมื่อพิจารณาผืนผ้าดูดี ๆ แล้วมันเป็นสีทองทั้งผืนผ้าทั้งดิ้นที่ปัก ไม่มีสีอื่นปนเลย ตรงจุดนี้หญิงสาวคิดว่าต้องหาทางทำอะไรซักอย่าง เธอต้องการเลื่อมสีที่เข้ากับผ้าสไบ แต่จะให้ออกไปซื้อตอนนี้มันก็… คิดได้ดังนั้นจึงลองค้นในลิ้นชักหัวเตียงดูก่อนว่าพอจะมีอะไรที่ใช้แทนกันได้หรือไม่ แต่เนื่องจากว่าเธอเป็นคนชอบเก็บสะสมของประเภทนี้ทำให้มันมีมากมายหลายแบบเหลือเกิน คงต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะเจอของที่เธอต้องการจริง ๆ

“ท… ท่านเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์!?”ทาสหนุ่มที่กำลังนอนอู้งานอยู่ใต้ถุนเรือนถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นชายหนุ่มมายืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าเรือน สองขารีบคลานเข้าไปกราบคนยศเจ้าพระยาอย่างนอบน้อมราวกับต้องการประจบประแจง

“คุณหนูยมลภาอยู่หรือไม่?”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อยู่ขอรับ เชิญครับเชิญ…”ทาสหนุ่มผายมือเชื้อเชิญให้เขาขึ้นไปบนเรือนอย่างเต็มใจ คนถูกเชิญยิ้มเย็นก่อนเดินเกาะราวบันไดขึ้นไปบนเรือนอย่างช้า ๆ ตามสังขารและเพื่อไม่ให้เกิดเสียงจนคนในเรือนไหวตัวทัน

“คุณหนูเจ้าคะ อาหารเที่ยงเจ้าค่ะ”เสียงร้องเรียกของหญิงชราดังมาจากห้องทางด้านซ้ายมือของผู้มาเยือน เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เดินตามเสียงนั้นไปก็พบกับหัวหน้าบ่าวไพร่คนเดียวกับที่มาต้อนรับเขาเมื่อวานนี้

“ว้าย!! ท่านเจ้าพระย…”หญิงชรายังไม่ทันได้อุทานจบก็ถูกมือหนาของเจ้าพระยาตะปบปากเอาไว้เสียก่อน นิ้วชี้ของมือข้างที่ว่างอยู่จรดขึ้นที่ริมฝีปากเป็นการบอกให้หัวหน้าบ่าวผู้นั้นเงียบเสียงเอาไว้ นางพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อย ๆ เอามือออกจากปากของหล่อน

ฝ่ามือแกร่งยื่นไปตรงหน้าหญิงชราเป็นเชิงร้องขอ เธอมองตามนัยเนตรสีน้ำเงินก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้นคือถาดสำรับอาหารของคุณหนูของเธอนั่นเอง แม้นี่จะไม่ใช่งานที่คนเป็นเจ้าพระยาจะต้องลงแรงทำให้เหนื่อย แต่เมื่อเป็นความต้องการของเจ้าตัวเองแล้วเธอก็ขัดอะไรไม่ได้ ถาดสำรับถูกส่งให้กับมือผู้ร้องขออย่างเงียบเชียบ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยประดับบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างพึงพอใจก่อนที่หญิงชราจะค้อมหัวให้ชายหนุ่มก่อนเดินจากไปพร้อมสำรับอาหารเช้าที่ยังกินไม่หมด

 

ก็อก ๆ ๆ

 

“วางไว้หน้าประตูเลยจ้ะ”เสียงเล็ก ๆ ดังลอดออกมาจากในห้อง เป็นเสียงเดียวกับที่เจ้าพระยาเฝ้าคนึงหามาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เสียแรงจริง ๆ ที่รีบจ้างรถม้าเร็วมาจากวังหลวง

 

ก็อก ๆ ๆ

 

มือหนาเคาะประตูอีกรอบหวังให้หญิงสาวที่อยู่ด้านในออกมาเปิด แต่ครั้งนี้กลับไม่ซึ่งสุรเสียงตอบกลับมาจากคนที่อยู่ข้างใน เจ้าของยศเจ้าพระยายังคงยืนถือถาดสำรับรออย่างอดทน ซักพักจึงค่อยเคาะประตูใหม่อีกรอบ

 

ก็อก ๆ ๆ

 

“ยายจ๊ะ ฉันบอกแล้วไงว่าให้วางไว้หน้าห…”ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกหญิงสาวถึงกับตาค้างด้วยความตะลึงงันเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนรอเธออยู่หน้าห้อง ชายหนุ่มถือถาดอาหารพร้อมมองเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เธอเกลียดนักหนา คุณหนูยมลภานึกถึงสิ่งที่เธอคิดเอาไว้เมื่อตอนเช้าก่อนที่จะทำการปิดประตูใส่หน้าเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์อย่างไม่ไยดี

 

หมับ!!

 

 

 

มือซ้ายของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์จับขอบประตูเอาไว้ได้ทันควัน ร่างเล็กพยายามปิดประตูอย่างสุดแรงแต่ด้วยความที่สู้แรงบุรุษเพศไม่ไหวจึงได้แต่รั้งบานประตูไว้ไม่ให้เปิดอ้าออกมากกว่าเดิมเท่านั้น อีกฝ่ายที่ดูจะสนุกกับการเห็นคนตรงหน้าออกแรงปิดประตูเสียจนน้ำหุูน้ำตาจะไหล ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าชังยิ่งนัก อยากจะลองแกล้งเธอให้ร้องไห้โยเยเยี่ยงเด็กน้อยเสียเหลือเกิน

“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ…”สองมือเล็ก ๆ ของหญิงสาวยังคงจับบานประตูเอาไว้แน่นเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของร่างสูงที่ยืนประจันหน้าอยู่กับเธอ

“ฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ อะไรกันคุณหนู ข้าแค่จะมาดูผ้ากับนำอาหารมาให้เองนะ”

“เดี๋ยวข้าเอาออกไปให้ดูข้างนอกไม่ได้รึไง? แล้วถาดอาหารก็วางเอาไว้หน้าห้องซะสิ…”ทั้งสองต่างยื้อยุดฉุดกระชากไม่มีใครยอมใคร หากจะมีใครเป็นฝ่ายพ่ายไปก่อนก็ดูท่าว่าจะเป็นบานประตูเสียแทน

คุณหนูยมลภาในเวลานี้รู้สึกเจ็บมือจวนเจียนจะร้องไห้ แต่หากจะให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้องของตนล่ะก็ต่อให้ต้องเสียมือทั้งสองข้างนี้ไปก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด คนหัวดื้อยังคงรั้งประตูเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางสู้แรงของอีกฝ่ายได้แน่นอน

เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เหลือบไปมองมือขาวที่บอบช้ำจนห้อเลือดเป็นสีอมแดงก็ถึงกับใจอ่อนยอมปล่อยมือให้สาวเจ้าปิดประตูใส่หน้าตัวเองดัง ปัง!! ยอมเสียศักดิ์ศรีนิดหน่อยแลกกับไม่ให้มืออันบอบบางของหญิงสาวต้องบอบช้ำ นั่นคือสิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ

“คุณหนูยมลภา มือเจ้าเจ็บอยู่ใช่หรือไม่?”คนขี้แกล้งตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“ไปให้พ้น!!”คนถูกแกล้งตะโกนตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อใย

ต้องยอมรับว่านี่เป็นความผิดของเขาเองที่นึกสนุกอยากแกล้งคนตรงหน้าจนเกินไปสุดท้ายก็ทำให้เธอต้องเจ็บตัว มือหนาวางสำรับอาหารไว้หน้าห้องก่อนเริ่มสำรวจเรือนนครไพศาลเพื่อหาสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ากล่องปฐมพยาบาล

สายตาของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ปะทะเข้ากับกล่องไม้สีน้ำตาลในตู้กระจกหลังใหญ่ สิ่งนั้นดูคล้ายกล่องปฐมพยาบาลที่สุดในความคิดคนสูงศักดิ์ในตอนนั้นแล้ว เขาพนมมือเอ่ยขออนุญาตแม่ย่านางผู้ปกปักรักษาเรือนนครไพศาลก่อนจะเปิดตู้เพื่อหยิบกล่องไม้ใบนั้นมาดูว่าแท้จริงแล้วมีอะไรอยู่ภายใน

เป็นไปตามที่คาด ภายในกล่องไม้เต็มไปด้วยยาจากเมืองฝรั่ง และผงสมานแผลอื่น ๆ รวมไปถึงผ้าพันแผลด้วย เมื่อได้ของที่ต้องการชายหนุ่มรีบสาวเท้ายาวไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผู้บาดเจ็บทันทีก่อนจะเปิดประตูพรวดเข้าไปโดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของห้องเลยซักคำ

“ท่าน!? ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”หญิงสาวแสดงอาการต่อต้านโดยการหยิบหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือที่สุดปาใส่หน้าคนไม่มีมารยาทอย่างสุดแรง แต่เพราะแขนของเธอเล็กและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงซ้ำมือยังบาดเจ็บอยู่ด้วย หมอนอิงจึงได้เพียงกระทบกับใบหน้าของเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เบา ๆ ราวกับสะกิดเท่านั้น

“เจ้าผิดเองที่ไม่ล็อคประตู”คนฟังระบายลมหายใจออกมาอย่างเดือดดาล สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อโดยลืมไปว่าเดิมทีมือขาวบางคู่นั้นก็มีเลือดไหลซิบ ๆ จากการครูดกระบานประตูไม้สักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชายหนุ่มในชุดราชปะแตนค่อย ๆ เดินก้าวข้ามธรณีประตูห้องเข้ามาช้า ๆ ร่างเล็กภายใต้ผ้าคลุมผืนเก่าเองก็ค่อย ๆ เดินถอยหลังให้ห่างจากเขาเช่นกัน

“แต่มือเจ้าบาดเจ็บอยู่ทั้งสองข้าง ให้ข้าช่วยทำแผลเถอะนะ”ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร คุณหนูยมลภาดีดตัวไปอยู่ที่อีกฝั่งของเตียงสี่เสา คนช่างตื้อค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ก่อนทรุดนั่งลงบนเตียงของสาวเจ้าอย่างถือวิสาสะ

“อย่ามานั่งบนเตียงข้านะ!!”เธอร้องเสียงสูงชนิดที่ว่าไม่กลัวบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างล่างจะได้ยิน หมอนใบใหญ่ถูกใช้ดันตัวร่างสูงให้ลุกออกไปจากเขตหวงห้ามของเธอ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์หยิบหมอนออกจากมือหญิงสาวด้วยความรวดเร็วก่อนจะฉวยข้อมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างดึงให้ร่างบางลงมานั่งบนเตียงกว้างแต่โดยดี

ผู้แพ้ยังคงสะบัดข้อมืออย่างแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากมือหนาพันธนาการเธอเอาไว้ แต่ยิ่งดิ้นมือที่เจ็บอยู่แล้วก็ยิ่งเจ็บมากยิ่งขึ้นไปอีก หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากลูกแก้วสีฟ้าครามโดยที่เธอไม่ทันไม่รู้ตัว ชายหนุ่มผู้เฝ้ามองทุกการกระทำนั้นถึงกับยอมใจอ่อนอีกครา จึงยอมคลายมือออกให้หลวมขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยเสียที

“คุณหนู ยอมให้ข้าทำแผลให้เจ้าเถอะนะ”

“ข้าทำเองได้…”

“แต่มือเจ้าเจ็บอยู่นะ”

“ช่างปะไร ก็แค่ทำแผลเองนี่”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มใจอ่อนกับเธอแล้ว คุณหนูยมลภาก็รีบกระชากข้อมือทั้งสองข้างออกทันที ทั้งยังพยายามจะเอื้อมมือไปแย่งกล่องปฐมพยาบาลจากผู้เป็นเจ้าพระยาอีกด้วย ถึงแม้จะแย่งไม่ทันเพราะอีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบเสียก่อนก็ตาม

“ข้าเป็นคนทำให้เจ้าเจ็บ ฉะนั้นข้าขอรับผิดชอบโดยการทำแผลให้เจ้าจะได้หรือไม่?”ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้ม

“ดิฉันจะเป็นพระคุณมากกว่าถ้าท่านเจ้าพระยาจะวางกล่องปฐมพยาบาลทิ้งไว้แล้วออกไปจากห้องของดิฉันเจ้าค่ะ”คนเจ็บพูดกระแทกเสียงอย่างประชดประชันทั้งทีหยาดน้ำตายังไม่แห้งเหือดไป ดู ๆ แล้วช่างเป็นภาพที่น่าขันแต่คนมองกลับต้องกลั้นเอาไว้แล้วค่อย ๆ ตะล่อมอีกฝ่ายต่อไป

“ไม่เอาน่า ให้ข้าทำเถอะคุณหนู ข้าทำไม่เจ็บหรอก”คำพูดสองแง่ สองง่ามนั้นทำเอาคุณหนูยมลภาหน้าร้อนผ่าวด้วยความกระดากอาย อยากจะเอื้อมมือไปตีเรียวปากคมที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมานัก แต่มือที่กำลังจะเตรียมง้างก็ต้องชะงักเมื่อเผลอไปสบสายตาอ้อนวอนของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเข้า จันทร์เสี้ยวสีทองที่อยู่ในดวงตาของเขาช่างงดงามเหลือเกิน งดงามจนแทบจะทำให้เธอหลงใหลจวนเจียนจะขาดสติอยู่รอมร่อ

ลูกแก้วสีฟ้าใสยังคงไม่ละออกไปจากจันทร์เสี้ยวคู่นั้น เจ้าพระยาเล็งเห็นโอกาสอยู่รำไรจึงค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวช้า ๆ ไม่ให้เธอไหวตัวทัน มือหนาบรรจงหยิบผ้าสะอาดในกล่องมาซับเลือดบนมือเธออย่างนุ่มนวล ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มปฐมพยาบาลไปทีละขั้นโดยไม่ให้คนที่อยู่ในห้วงมนต์สะกดของจันทร์เสี้ยวได้รู้ตัว

ผงสมานแผลและยาสมุนไพรถูกหยิบออกมาใช้ทีละชิ้น มันไม่ง่ายเลยที่จะทำแผลไปด้วยโดยที่สายตาห้ามละจากคนตรงหน้าแม้เพียงวินาทีเดียว หากเธอหลุดจากมนต์สะกดของเขาเมื่อไหร่มีหวังได้อาละวาดถีบเขาตกเตียงจนกระดูกกระเดี้ยวหักเป็นแน่ เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ใช้นิ้วป้ายยาลงบนมือของสาวเจ้าก่อนจะค่อย ๆ นวดให้ยาซึมเข้าไปอย่างเบามือ เหลือเพียงแค่พันผ้าพันแผลเท่านั้นก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ยังไม่ทันจะได้พันแผลให้เรียบร้อย เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็เริ่มจะเผลอตกลงไปในวังวนของลูกแก้วสีฟ้าคู่นั้นเสียแล้ว หยาดน้ำตาที่เกาะพราวอยู่ตรงหางตาขับให้แววตาคู่นั้นดูเศร้าสร้อยน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าพระยาหนุ่มเริ่มมีความคิดอกุศลอยู่ในหัวที่พยายามไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป มือขวาเริ่มอยู่ไม่สุขไปโอบเอวคอดกิ่วอย่างถือวิสาสะ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้โวยวายอะไรซ้ำยังปรือตาอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับกำลังรอให้คนอายุมากกว่าทำขั้นตอนต่อไป

มืออีกข้างค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมเก่า ๆ ที่ปิดหน้าให้พ้นทางก่อนค่อย ๆ ลูบปอยผมสั้นสีทองอย่างรักใคร่ เสี้ยวหน้าคมสันค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาใบหน้างามอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่ลมหายใจอุ่นจรดเข้ากับริมฝีปากบางคนตัวเล็กกว่าก็พลันได้สติขึ้นมาซะอย่างนั้น

ภาพเก่าฉายย้อนกลับมาอีกครั้งเพียงแต่เป็นคนละสถานที่ คุณหนูยมลภาที่เพิ่งได้สติดีดตัวเองไปอยู่มุมห้องอีกครั้ง ร่างบางดันตัวเองให้แนบชิดจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นไม้ไปเสียแล้ว คนมักมากมองใบหน้างามที่ขึ้นสีชาดชัดเจนก็รู้สึกผิดขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน เขาผิดเองที่เร่งเร้าเธอมากเกินไป ต้องขอโทษเธอ…

“คุณหนู ข้าขออภัย ข้ามิได้ตั้งใจ…”

คุณหนูยมลภาไม่ได้ตวาดหรือกล่าวโทษเจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ เธอได้แต่กอดตัวเองพลางหอบหายใจถี่หนัก ในได้แต่ใจนึกโทษตัวเองที่ปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินไป เป็นสาวเป็นนางแท้ ๆ ทำไมใจง่ายแบบนี้นะยมลภา ถ้าไม่ได้สติเร็วกว่านี้ล่ะก็นะ… ไม่อยากจะคิดเลย…

“ข้าขออภัยอีกครั้งนะคุณหนูยมลภา คุณหนูไม่ได้โกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่?”

“ออกไป…”กลีบปากบางเอื้อนเอ่ยเสียงเบาจนคนอายุมากไม่ได้ยิน ถ้าเป็นเวลาปกติท่านเจ้าพระยาคงหาเรื่องแกล้งเธอต่อแล้ว แต่สิ่งที่เกิดวันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกผิด ผ้าก็ไม่ได้ดู แถมยังเล่นไม่รู้เรื่องจนเกือบจะแย่กันทั้งคู่ คนยศเจ้าพระยาได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงรอดูปฏิกิริยาของสาวเจ้าต่อไปเพราะไม่ได้ยินเสียงออกปากไล่เมื่อครู่

“ออกไปซะ!! เดี๋ยวนี้เลย!!”เธอตัดสินใจตะโกนออกมาในท้ายที่สุด นัยเนตรเสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนความอับอาย คนถูกไล่เองก็ไม่กล้าจะอยู่นานกว่านี้อยู่แล้วจึงยอมลุกจากเตียงสี่เสาแต่โดยดี

แผ่นหลังกว้างหันกลับตั้งท่าเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งกล่องยาเอาไว้ให้หญิงสาวจัดการกับมืออันบอบช้ำของตัวเองต่อในตอนที่เขากลับไปแล้วหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ไม่รู้จะมีหน้ามาพบเธออีกครั้งได้อย่างไร แต่หากหัใจมันเรียกร้องก็คงต้องฝืนทำใจกล้ามาหา แล้วอ้างว่ามาดูผ้าอีกตามเคย

ทันทีที่บานประตูไม้สักปิดลง คุณหนูยมลภาก็ได้แต่ทรุดนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่ไปเผลอกาย เผลอใจให้กับเจ้าพระยาหนุ่มรูปงามผู้นั้น ทั้งที่ไม่ได้ชอบขี้หน้าเท่าไหร่แถมยังค่อนข้างไปทางเกลียดด้วยซ้ำ จะทำยังไงดี… ถ้าได้พบกันคราหน้าจะทำตัวอย่างไรดี…

“ไอ้เจ้าพระยาเฮงซวยเอ๊ย…”

และแม้ว่าจากนี้ไปห้องเล็ก ๆ แห่งนี้จะเป็นเขตหวงห้ามที่เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ อาจจะ ไม่ได้เข้าไปเหยียบอีกแล้วตลอดชีวิต แต่เมื่อมองกลับไปที่ประตูไม้สักบานนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกว่าต้องฮึดสู้อีกครั้ง อุตส่าห์เจอคนที่ถูกใจทั้งทีจะไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้แน่ ไม่ไหว ๆ ดูท่าว่าการมาดูความคืบหน้าผ้าปักในคราวต่อไปเขาจะต้องพกสติมาให้มากกว่านี้เสียแล้ว…

 

 

หลังจากเดินลงมาจากเรือนนครไพศาล เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์ก็ถือโอกาสสำรวจเรือนใหญ่แห่งนี้ไปในตัว ระหว่างที่เดิน ๆ อยู่ก็มีบ่าวไพร่ค้อมหัวทำความเคารพเขาบ้างเป็นระยะ เจ้าตัวก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มตอบไปเฉย ๆ ตามมารยาทเท่านั้น

เหนือศีรษะของเขาคือห้องนอนของคุณหนูยมลภา มันถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าม่านลูกไม้สีขาวราวกับว่ามิต้องการให้ผู้ใดมองลอดเข้าไปเห็นภายใน ตัวเจ้าพระยาที่เขาไปเห็นถึงด้านในห้องแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นซักเท่าไหร่ แม้จะยังรู้สึกผิดไม่หายที่ไปทำตัวชีกอกับคุณหนูคนสุดท้องของบ้าน นี่ถ้าพี่ชายทั้ง2ของคุณหนูรู้เข้าเขาคงจะมีชีวิตไม่ถึงวันแต่งงานของคุณหมออิทธิพัทธ์

“อะไร?”รองเท้าหนังชั้นดีของคนยศสูงเหยียบเข้ากับพื้นดินที่ภายในดูโปร่ง ๆ หากฟังจากเสียงกระทืบเท้า สายตาเหลือบไปมองซ้าย มองขวาก่อนจะแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงลงมือขุดดินบริเวณนั้นโดยใช้ไม้เท้าประจำกายเป็นตัวช่วยแทนจอบเสียม

ส่วนปลายไม้เท้าครูดเข้ากับแผ่นไม้เก่า ๆ เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีแล้วก็พบว่ามันไม่ใช่แผ่นไม้ แต่เป็นกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กต่างหาก ปลายนิ้วเรียวดันตัวกล่องขึ้นมาก่อนเปิดดูช้า ๆ ว่ามีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่ภายใน

“ผ้า?”ชายหนุ่มคลี่ผืนผ้าซ่อมซ่อนั้นออกมาดูให้เห็นกับตา ก่อนจะรู้ว่าผ้าผืนนี้คือผืนเดียวกับที่เขานำไปคืนคุณหนูยมลภาที่หน้าห้องเมื่อวาน ดูท่าเธอจะกระดากอายเสียจนไม่กล้าใช้สิ่งของที่ต้องมือชายแปลกหน้ามาก่อนสินะ ไร้เดียงสาน่าเอ็นดูเสียจริง

ดินที่ถูกขุดไว้จนกระจุยกระจายถูกเกลี่ยและกลบอย่างเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เจ้าพระยาเสี้ยวจันทร์เดินทางกลับบ้านพร้อมกล่องไม้ใบนั้นพร้อมความรู้สึกหลากหลายที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้

“แทบจะรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวเลย…”

TBC.

**************************************

Free Talk :

รู้สึกบาปมากเลยค่ะ อิทธิฤทธิ์กระป๋องกาวนี่มันศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ซู้ดดดดดดดด

ตอนนี้มีแอบหลุดคาร์ไปบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าแต่งสนุกอยู่ค่ะ เจอกันตอนหน้าถ้าพืชไม่มีการบ้านนะคะะะะ บ๊ายยยยยย

2 thoughts on “[TouRabu AuFic][MikanBa]ดวงใจศาสตรา – บทที่ 2

ใส่ความเห็น